tag:blogger.com,1999:blog-27864482182812884292024-03-07T21:51:09.919-08:00thongchai003ช่วยคอมเมนด้วยนะครับthongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.comBlogger22125tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-7630634680827680162009-12-21T02:12:00.000-08:002009-12-21T02:20:23.918-08:00การเขียนวิทยานิพนธ์<a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/cover.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">ปก</span></a><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;"><br /></span><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/number.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">สารบัญ</span></a><br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/lasson1.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">บทที่ 1 บทนำ</span></a><br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/lesson2.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">บทที่ 2 เค้าโครงวิทยานิพนธ์</span></a><br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/lasson3.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">บทที่ 3 ส่วนประกอบและการเขียนวิทยานิพนธ์</span></a><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;"><br /></span><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/lasson4.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">บทที่ 4 หลักเกณฑ์และรูปแบบการพิมพ์วิทยานิพนธ์</span></a><br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/lasson5.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">บทที่ 5 การอ้างอิง</span></a><br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/lesson6.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">บทที่ 6 บรรณานุกรม</span></a><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;"><br /></span><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/refer.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">บรรณานุกรม</span></a><br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/back1.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">แบบเสนอหัวข้อใหม่</span></a><br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/images/work/thesis/back.pdf" target="_blank"><span style="font-family:courier new;color:#ff6666;">ภาคผนวก</span></a><br /><br />อ้างอิง<br /><a href="http://graduate.sru.ac.th/index.php/2008-06-12-03-46-49">http://graduate.sru.ac.th/index.php/2008-06-12-03-46-49</a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-6176839011433002862009-12-20T05:18:00.000-08:002009-12-20T05:23:54.878-08:00เทคนิคการสอนในชั้นเรียนรวม<span style="color:#66ffff;">เทคนิคการสอนในชั้นเรียนรวม<br /></span><span style="color:#ffff66;">ในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างให้การยอมรับการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ดังได้ร่วมทำสัญญาการดำเนินงาน การจัดการศึกษาแบบเรียนรวมพร้อมกันในที่ประชุม (UNESCO) ณ ประเทศสเปน ปี ค.ศ. 1995 ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดการศึกษาและหาวิธีการเพื่อส่งเสริมให้การเรียนรวมมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น ซึ่งมีผู้กล่าวว่า ควรคำนึงถึงสิ่งสำคัญบางประการ ในการดำเนินการ คือ (Elkins :1990) </span><br /><span style="color:#ffff66;">1. ต้องปรับเปลี่ยนหลักสูตรชั้นเรียนปกติเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ </span><br /><span style="color:#ffff66;">2. ต้องพัฒนาทัศนคติของทุกหน่วยงานการศึกษาที่มีต่อเด็กที่มีความต้องการพิเศษให้เป็นไปในเชิงบวก </span><br /><span style="color:#ffff66;">3. ต้องพัฒนานโยบายของโรงเรียนต่าง ๆ ให้เปิดกว้างเพื่อรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเข้าเรียนรวมตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม </span><br /><span style="color:#ffff66;">4. ให้บุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียนปกติเห็นความสำคัญและรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ<br /><br />นอกจากนี้นักการศึกษาพิเศษยังได้แนะนำวิธีการหลัก 5 วิธี ในการสอนเด็กพิเศษในห้องเรียนรวมให้ประสบผลสำเร็จด้วยดี ดังนี้ (McGrath & Nobel. : 1993) </span><br /><span style="color:#ffff66;">1. สร้างห้องเรียนที่มีบรรยากาศของการสนับสนุนซึ่งกันและกัน </span><br /><span style="color:#ffff66;">2. ใช้วิธีการเรียนโดยร่วมมือกันในการเรียนรู้ </span><br /><span style="color:#ffff66;">3. สอนเรื่องเดียวกันแก่เด็กที่มีความสามารถต่างกัน </span><br /><span style="color:#ffff66;">4. ให้ผู้ช่วยสอน นำสื่อมาช่วยสอนในห้องเรียน </span><br /><span style="color:#ffff66;">5. สร้างทีมสนับสนุนงานของโรงเรียน(อบต)</span><br /><span style="color:#ffff66;"></span><br /><span style="color:#ffffff;">อ้างอิง</span><br /><a href="http://www.nrru.ac.th/web/Special_Edu/4-2.html">http://www.nrru.ac.th/web/Special_Edu/4-2.html</a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-63336953920339646192009-12-20T05:11:00.000-08:002009-12-20T05:15:06.596-08:00ความจำเป็นในการเลือกใช้เทคนิคการสอนความจำเป็นในการเลือกใช้เทคนิคการสอน<br />การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ คือ การสอนที่พบว่าหลังจากเด็กได้รับความรู้ หรือมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่ครูตั้งไว้ ซึ่งครูอาจมีวิธีการมากมายที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ครูเลือกใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ จึงใช้วิธีการเดียวกันนี้สำหรับสอนเด็กทุกคน เพื่อให้เด็กเหล่านี้พัฒนาขึ้นเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เพราะว่าเด็กมีพื้นฐานต่างกัน ความรู้ความสามารถของเด็กแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน<br />เด็กอาจได้รับประโยชน์จากการเรียนการสอนไม่เต็มที่ ถ้าหากครูใช้วิธีการสอนเช่นนั้น ดังนั้นครูจึงต้องปรับเปลี่ยนเทคนิคการสอนเลือกใช้เทคนิคการสอนที่เหมาะสม เพื่อสนองต่อเด็กกลุ่มที่มีความหลากหลายในห้องเรียนรวม<br /><br />แนวคิดในการปรับเปลี่ยนเทคนิคการสอน ได้แก่<br />1. การเรียนการสอนที่ดี ควรยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child Center)<br />2. เด็กมีความแตกต่างกัน<br />3. เด็กมีความสามารถในการคิดและรับรู้ต่างกัน<br /><br />อ้างอิง<br /><a href="http://www.nrru.ac.th/web/Special_Edu/4-1.html">http://www.nrru.ac.th/web/Special_Edu/4-1.html</a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-12147999578238274722009-09-21T06:18:00.000-07:002009-09-21T06:22:22.948-07:00การวัดและการประเมินผล<span style="font-size:130%;color:#ffff99;">การวัดและประเมินกลุ่มสาระการเรียนรู้<br /> ในการประเมินผลการเรียนรู้แต่ละกลุ่มสาระขอเสนอแนะให้ดำเนินการดังนี้<br />1.การประเมินผลก่อนเรียน เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนแต่ละวิชาและแต่ละกลุ่มสาระที่ต้องประเมินโดยมีจุดมั่งหมายเพื่อจัดทำข้อมูลของตัวเด็กแต่ละคนในเบื้องต้น ว่าเด็กแต่ละปีมีสภาพส่วนใหญ่อย่างไร และนำข้อมูลนี้ไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสภาพผู้เรียนตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ<br />2.ดำเนินการประเมินระหว่างเรียนซึ่งการประเมินระหว่างเรียนนี้ เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบพัฒนาการของผู้เรียนว่า มีการเปลี่ยนแปลงบรรลุตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ในการสอนตามแผนการสอน แต่ละแผนที่ผู้สอนวางไว้หรือไม่ และการเปลี่ยนแปลง แสดงให้เห็นจากสภาพเดิมที่ทดสอบไว้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้จากการประเมินนั้น เป็นการนำไปปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียน และส่งเสริมผู้เรียนที่มีความรู้ความสามารถให้เกิดพัฒนาการสูงสุดตามศักยภาพ ข้อมูลการประเมินระหว่างเรียน จึงใช้ทั้งแก้ไขซ่อมเสริมความบกพร่องของเด็กบางคน ขณะเดียวกันก็นำไปใช้ประกอบการจัดกิจกรรมเพิ่มเติมแบบสอนเสริมให้กับเด็กที่เก่ง ได้เกิดพัฒนาเต็มศักยภาพ<br />3.เป็นการประเมินเพื่อสรุปผลการเรียนซึ่งการประเมินเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ครั้งสุดท้ายนี้ เพื่อมุ่งตรวจสอบความสำเร็จของผู้เรียนทั้งรายบุคคลและอิงกลุ่ม ว่าในกลุ่ม ในชั้นนั้น เมื่อผ่านการเรียนรู้ในช่วงเวลาหนึ่งแล้วนักเรียนส่วนใหญ่ ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด เพราะต่อไปนี้เป็นการประเมินสะสมพัฒนาการ จะทำระหว่างภาคระหว่างปีก็ได้ เพื่อนำผลไปประเมินรวบยอดอีกครั้งหนึ่งตัดสินเป็นผลสุดท้ายเมื่อจบช่วงชั้นสำหรับเด็ก ม.ต้นที่จัดเป็นรายนั้น<br />อยากแนะนำว่าในแต่ละรายปีรายภาคอาจจะให้เป็น 2-1-0 แล้วจึงไปตัดผลสุดท้ายเป็น 4-3-2-1 ก็ได้ เพราะเด็กจะได้รู้ว่าตนเองควรจะพัฒนาจุดไหน โดย<br />2 นี้อาจจะสรุปว่าผลการเรียนดีมาก<br />1 มีผลการพัฒนาการเรียนรู้ดี<br />0 ยังต้องปรับปรุง<br /> ซึ่งครูผู้สอนก็ต้องระบุให้ได้ว่า เด็กคนที่ได้ 0 ยังต้องปรับปรุงด้านอะไร เช่นงานยังส่งไม่ครบ หรืองานส่งครบแต่คุณภาพยังไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับโรงเรียนว่าจะตกลงประกันคุณภาพว่า เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของความสำเร็จ คือ 1 หรือ 2 โรงเรียนอาจจะกำหนดว่าเด็กจะต้องจบที่เกรดเฉลี่ย 2.00 ถ้ากำหนดไว้ที่ 2 ครูต้องจัดการสอนซ่อมเสริมเด็กที่ติด 0 ติด 1 ให้ได้ 2 ก่อนจึงค่อยตัดสินผล เด็กทุกคนก็จะอยู่ที่ระดับ 2 เป็นขั้นต่ำ ซึ่งวิธีนี้ ถ้าทำได้ทั้งหมดจะเป็นการทำให้เด็กในโรงเรียนของเรา มั่นใจได้ว่าเก่ง กว่าเด็กที่อื่นที่อาจจะใช้เกณฑ์ขั้นต่ำเพียงแค่ 1<br />ในการตัดสินผลการเรียนนั้นให้นำคะแนนที่ได้มากสุดของแต่ละครั้งที่ได้รับการประเมินผลมารวมกันและมาเปลี่ยนเป็นระดับผลการเรียนการประเมินโดยใช้สัญลักษณ์อาจจะให้ระดับคุณภาพผลการเรียน<br />4 หมายถึง ระดับดีมาก<br />3 หมายถึง ระดับดี<br />2 หมายถึง ระดับพอใช้<br />1 หมายถึง ระดับผ่านเกณฑ์ที่กำหนด<br />0 หมายถึง ระดับผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์เหล่านี้เป็นการตัดสินรวมทั้งหมด<br />การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน<br /> การประเมินกิจกรรม พัฒนาผู้เรียนนั้นจะต้องเป็นการประเมินกิจกรรมประจำภาคเรียนมีวิธีการคือ<br />1. ผู้ที่รับผิดชอบกิจกรรม อาจจะคอยประเมินผลการปฏิบัติของผู้เรียนแต่ละคนตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในแต่ละกิจกรรมโดยดูจากพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรมการลงมือดำเนินกิจกรรมตามที่กำหนด และดูผลสุดท้ายว่าเมื่อเด็กทำกิจกรรมนั้นแล้วได้ผลงานออกมามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องอาศัยวิธีการที่หลากหลาย ตามสภาพจริง ดูทั้งความประพฤติ การมีส่วนร่วม ดูทั้งการประยุกต์ใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมนั้นๆรวมถึงผลงานสุดท้ายที่เด็กได้ว่าเป็นคุณภาพอย่างไรอาจจะทำเป็นรูป Rubric เขียนเป็นเกณฑ์คุณภาพออกมา<br />2.ผู้ที่รับผิดชอบกิจกรรมจะต้องคอยตรวจสอบในเรื่องการใช้เวลาเข้าร่วมกิจกรรมของผู้เรียนว่าเป็นไปตามเกณฑ์ ที่สถานศึกษากำหนดหรือไม่ เพราะในเรื่องเกณฑ์การเข้าร่วมกิจกรรมของเด็กนี้เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ และเด็กได้ใช้เวลาตามที่หลักสูตรได้กำหนดไว้ ให้เป็นประโยชน์ตามความสนใจ ตามความถนัด<br />3.เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้ไปในระยะหนึ่งแล้ว ผู้รับผิดชอบในหลักสูตรกิจกรรมต้องจัดให้มีการประเมินการปฏิบัติกิจกรรมผู้เรียน เพื่อสรุปความก้าวหน้าในสภาพของการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน ในแต่ละระยะเพราะถ้าหากไม่ประเมินเป็นระยะๆจะมองไม่เห็นเลยว่าเด็กแต่ละคนมีความถนัด ความสนใจ และแสดงความก้าวหน้าของตนเองมากน้อยเพียงใด ถ้าหากมีเด็กบางคน ไม่มีส่วนร่วม ไม่รับผิดชอบหรือผลงานไม่ก้าวหน้าเราจะได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข หรือส่งเสริมกระตุ้นให้เด็ก ปฏิบัติกิจกรรมให้ถูกต้องตามที่กำหนดหรือปรับปรุงผลงาน ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดต่อไป ในส่วนนี้เมื่อเสร็จแล้วให้รายงานผลการประเมินให้ผู้ปกครองทราบทุกกิจกรรมโดยทำการประเมินตามจุดประสงค์ที่สำคัญของกิจกรรมแต่ละกิจกรรมที่เด็กเข้าร่วม และนำผลการประเมินนั้น ไปรวมกับการประเมินการร่วมกิจกรรม ในช่วงปลายภาคอีกครั้งหนึ่งเพื่อตัดสินผลการร่วมกิจกรรมเมื่อสิ้นสุดการศึกษา ทั้งนี้ให้ทำทุกภาคเรียน และสรุปในช่วงปลายปีตลอด อย่างต่อเนื่อง เพื่อดูความก้าวหน้าเด็ก<br /> จากวิธีการทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นวิธีการประเมินกิจกรรมผู้เรียน ประจำภาคเรียนและสะสมผลไว้ ในขั้นต่อไปจะเป็นการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อตัดสินผ่านช่วงชั้น คือเมื่อผู้เรียน เรียน 3 ปีหรือ 6 ภาคเรียนแล้วจะต้องมีการประเมินเพื่อสรุปผลการผ่านกิจกรรมตลอดช่วงชั้น ของผู้เรียน แต่ละคน เป็นการนำผลไปพิจารณาตัดสินว่าสมควรให้เด็กผ่านช่วงชั้นนั้นๆหรือไม่ ในขั้นนี้ขอแนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้<br />1.กำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด<br />2.ผู้รับผิดชอบกลุ่มเด็กหรือเด็กแต่ละคนนั้นเป็นคนที่สรุปและประเมินผลการร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด<br />3.นำเสนอผลการประเมินต่อคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการของโรงเรียนให้ความเห็นชอบ จากนั้นจึงดำเนินการเสนอผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาอนุมัติให้เด็กแต่ละคนจบช่วงชั้นหรือเลื่อนผ่านช่วงชั้นต่อไปในส่วนของกิจกรรมจึงต้องประเมินเป็น 2 ระยะ คือ ประเมินเป็นรายภาค สะสมผลไว้และนำมาประเมินอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดช่วงชั้น ที่จะต้องทำอย่างเป็นระบบและมีข้อมูล หากนักเรียนจะเก็บหลักฐานผลงานที่ดีเด่นไว้ประกอบด้วย ก็จะเป็นการดีในแง่ที่มีผลงานตัวอย่าง<br />การประเมินกิจกรรมผู้เรียนนั้นให้ใช้<br />ผ. หมายถึง หมายถึงผ่านเกณฑ์มาตรฐาน<br />ม.ผ. หมายถึง หมายถึงไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน<br />การประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์</span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffff99;">โดยแนวคิดแล้วเนื่องจาก พรบ.การศึกษา กำหนดว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น ต้องการสร้างให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง เป็นคนดี และมีความสุข ซึ่ง 8 สาระกับ 1 กิจกรรม อาจจะเป็นตัวหลักสูตรสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของเด็กแต่ละคนได้ แต่ในเรื่องของความดี คือมุ่งตรงไปที่ด้าน ความประพฤติคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตามที่สถานศึกษากำหนดขึ้นมา จะด้วยเป็นนโยบาย เป้าหมายพัฒนาหรือมีการสำรวจความต้องการของผู้ปกครองท้องถิ่นประกอบด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่โรงเรียนต้องกำหนดขึ้น สำหรับพัฒนาผู้เรียนเป็นกรณีพิเศษ เพื่อแก้ปัญหา หรือเป็นการสร้างเอกลักษณ์เกี่ยวกับ คุณธรรมจริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนตามที่สถานศึกษาและชุมชนนั้นๆต้องการ โดยเป็นการประเมินเชิงวินิจฉัย วินิจฉัยพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พึงประสงค์หรือไม่ และก็ใช้เป็นส่วนหนึ่ง ประกอบหลักฐานในการจบช่วงชั้นซึ่งมีวิธีการดำเนินงานคือ<br />1.ให้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสถานศึกษาขึ้นโดยอาจประกอบไปด้วย ผู้แทนครู ผู้ปกครองและชุมชน โดยกรรมการจะทำหน้าที่กำหนดแนวทางการพัฒนา การประเมิน และกำหนดเกณฑ์การประเมินรวมถึงแนวทางการปรับปรุงซ่อมเสริมผู้เรียนที่ยังมีคุณลักษณะบกพร่องหรือยังไม่อยู่ในเกณฑ์<br />2.คณะกรรมการพัฒนา และประเมินคุณลักษณะนี้เป็นผู้กำหนดเป้าหมายของการพัฒนาที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาความจำเป็น หรือสอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษา และชุมชนซึ่งอาจเป็นคุณลักษณะที่กำหนดขึ้นอิสระ หรือเป็นลักษณะที่ซ้ำซ้อนกับมาตรฐาน 8 สาระ 8 กลุ่มวิชาก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดเน้น<br />จากนั้น คณะกรรมการที่กำหนด กิจกรรมพัฒนานี้อาจจะมี 2.ลักษณะคือ<br />1. กิจกรรมพัฒนาคุณลักษณะในห้องเรียน ในชั้นเรียน โดยมอบหมายให้ผู้สอนเป็นผู้สังเกต ประเมินผล แก้ไข ปรับปรุง ในระหว่างการจัดทำกิจกรรมการเรียนรู้ และทำข้อมูลบันทึกไว้เป็นหลักฐาน<br />2.เป็นการสังเกตประเมินจากกิจกรรม นอกห้องเรียน โดยให้บุคลากรของสถานศึกษา หรือผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่กำหนดขึ้นเป็นผู้ร่วมสังเกต และประเมินผล หรือ แก้ไขปรับปรุงผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา ทั้งภายนอกห้องเรียน หรือภายนอกสถานศึกษา ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งในและนอกสถานที่ ตามระบบการดูแลช่วยเหลือผู้เรียนนั่นเอง<br /> ผู้สอนหรือคนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาด้านพฤติกรรมที่พึงประสงค์นี้ ควรใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อให้เห็นว่า เป็นการประเมินที่เที่ยงตรง ไม่ได้ใช้ความรู้สึก เช่นใช้การสังเกตพฤติกรรมจากการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งในชั้นเรียน และนอกชั้นเรียน ดูความเสมอต้นเสมอปลายอาจใช้การสัมภาษณ์การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือให้เด็กจัดทำรายงานตนเองก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพโรงเรียนสภาพชุมชนท้องถิ่น หรือนิสัยเด็กแต่ละคน จากนั้นผู้รับผิดชอบรวบรวมข้อมูลการประเมินทั้งหมด จากหลายฝ่าย เช่นจากผู้สอนผู้เรียน ผู้ปกครอง ผู้เกี่ยวข้อง แล้วจึงสรุปให้กรรมการสถานศึกษาประกอบการพิจารณาตัดสินผลการประเมินคุณลักษณะแต่ละประการตามที่กำหนดไว้โดยโรงเรียน<br /> ในกรณีที่ผู้เรียนได้รับผลการประเมินดีหรือดีเยี่ยม ควรให้ทำการบันทึกข้อมูลการประเมินเพื่อรายงานและส่งต่อผู้ปกครอง หรือส่งต่อช่วงชั้นที่เด็กจะเลื่อนขึ้นไป แต่ในกรณีที่ผู้เรียนได้รับผลการประเมินว่าควรปรับปรุง ควรแจ้งให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง ทราบเสียก่อน และต้องจัดกิจกรรมซ่อมเสริมนิสัย ให้เด็กแก้ไขนิสัยตามแนวทางการปรับปรุงที่คณะกรรมการกำหนด แล้วจึงค่อยประเมินผลซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งควรจะทำอย่างรอบคอบ และไม่ควรทำให้เด็กรู้สึกเกร็ง ควรจะดูตามสภาพจริงของเด็กแต่ละคน เพราะไม่ได้มีคะแนน เป็นแค่ส่วนประกอบ ในการที่จะใช้ประกอบการประเมินผลว่า เด็กที่เก่งบางครั้งอาจจะมีพฤติกรรม ที่ไม่สมบูรณ์ก็ได้ เพราะเราอยากได้ทั้งเด็กเก่งและเด็กที่มีความประพฤติดี<br />ผลการประเมินพฤติกรรมอันพึงประสงค์อาจจะใช้เกณฑ์ในการประเมินเป็น<br /> ดีเยี่ยม หมายถึง มีพฤติกรรมสูงกว่ากำหนด<br /> ดี หมายถึง มีพฤติกรรมเป็นไปตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด<br /> ปรับปรุง หมายถึง มีพฤติกรรมบางข้อต้องปรับปรุง </span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffff99;">อ้างอิง</span><a href="http://school.obec.go.th/sup_br3/rs_4.htm"><span style="font-size:130%;color:#ffff99;">http://school.obec.go.th/sup_br3/rs_4.htm</span></a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-60571817003663395562009-09-21T06:08:00.000-07:002009-09-21T06:16:47.619-07:00หลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับเรียนรู้<div align="left"><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">ความหมาย "การเรียนรู้"<br />ทุกวันเราทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมายเช่น เราขับรถไปซื้อของได้ เราใช้คอมพิวเตอร์เป็นเราไปเล่นกีฬา เราเดินทางมามหาวิทยาลัย และเข้าฟังการบรรยายถูกห้อง เดินไปโรงอาหารโดยไม่ต้องคิด อ่านหนังสือได้ อย่างสบาย ฯลฯ นักศึกษาเคยสงสัยหรือไม่ว่า อะไรเป็นตัวการที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการที่เราทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ มาเป็นทำได้ อย่างเช่นเมื่อก่อนเราขับรถไม่เป็น แต่ปัจจุบันขับเป็น หรือเมื่อก่อนเราว่ายน้ำ ไม่เป็นแต่ปัจจุบันว่ายเป็น คำถามลักษณะนี้นักศึกษาสามารถหาคำตอบได้ในหัวข้อ "การเรียนรู้"<br />การเรียนรู้ ตามความหมายทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์ จากความหมายดังกล่าว พฤติกรรมของบุคคลที่เกิดจากการ เรียนรู้จะต้องมีลักษณะสำคัญ ดังนี้<br />1. พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจะต้องเปลี่ยนไปอย่างค่อนข้างถาวร จึงจะถือว่าเกิดการเรียนรู้ขึ้น หากเป็นการ เปลี่ยนแปลงชั่วคราวก็ยังไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้ เช่น นักศึกษาพยายามเรียนรู้การออกเสียงภาษาต่างประเทศ บางคำ หากนักศึกษาออกเสียงได้ถูกต้องเพียงครั้งหนึ่ง แต่ไม่สามารถออกเสียงซ้ำให้ถูกต้องได้อีก ก็ไม่นับว่า นักศึกษาเกิดการเรียนรู้การออกเสียงภาษาต่างประเทศ ดังนั้นจะถือว่านักศึกษาเกิดการเรียนรู้ก็ต่อเมื่อออก เสียงคำ ดังกล่าวได้ถูกต้องหลายครั้ง ซึ่งก็คือเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรนั่นเองอย่างไรก็ดี ยังมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่เปลี่ยนแปลงชั่วคราวอัน เนื่องมาจากการที่ ร่างกายได้รับสารเคมี ยาบางชนิด หรือเกิดจากความเหนื่อยล้า เจ็บป่วยลักษณะดังกล่าวไม่ถือว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนั้นเกิดจากการเรียนรู้<br />2. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจะต้องเกิดจากการฝึกฝน หรือเคยมีประสบการณ์นั้น ๆ มาก่อน เช่น ความ สามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ ต้องได้รับการฝึกฝน และถ้าสามารถใช้เป็นแสดงว่าเกิดการเรียนรู้ หรือความ สามารถในการขับรถ ซึ่งไม่มีใครขับรถเป็นมาแต่กำเนิดต้องได้รับการฝึกฝน หรือมีประสบการณ์ จึงจะขับรถเป็น ในประเด็นนี้มีพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ต้องฝึกฝนหรือมีประสบการณ์ ได้แก่ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเจริญเติบโต หรือการมีวุฒิภาวะ และพฤติกรรมที่เกิดจากแนวโน้มการตอบสนองของเผ่าพันธุ์ (โบเวอร์ และอัลการ์ด 1987, อ้างถึงใน ธีระพร อุวรรณโน,2532:285) ขอยกตัวอย่างแต่ละด้านดังนี้<br />ในด้านกระบวนการเจริญเติบโต หรือการมีวุฒิภาวะ ได้แก่ การที่เด็ก 2 ขวบสามารถเดินได้เอง ขณะที่ เด็ก 6 เดือน ไม่สามารถเดินได้ฉะนั้นการเดินจึงไม่จัดเป็นการเรียนรู้แต่เกิดเพราะมีวุฒิภาวะ เป็นต้น ส่วนใน ด้านแนวโน้มการตอบสนองของเผ่าพันธุ์โบเวอร์ และฮิลการ์ด ใช้ในความหมาย ที่หมายถึงปฏิกริยาสะท้อน (Reflex) เช่น กระพริบตาเมื่อฝุ่นเข้าตา ชักมือหนีเมื่อโดนของร้อน พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ แต่เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์<br />ทฤษฎีการเรียนรู้<br />ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ<br />1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Theory)<br /> ทฤษฎีในกลุ่มนี้ อธิบายว่า การเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เป็นการสร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า กับการตอบสนอง ทฤษฎีที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้วางเงื่อนไขแบบคลาสสิก หรือแบบสิ่งเร้าและ ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ<br />2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive theory)<br /> ทฤษฎีในกลุ่มนี้อธิบายว่า การเรียนรู้เป็นผลของกระบวนการคิด ความเข้าใจ การรับรู้สิ่งเร้าที่มากระตุ้น ผสมผสานกับประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาของบุคคล ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น ซึ่งการผสมผสานระหว่าง ประสบการณ์ที่ได้รับในปัจจุบันกับประสบการณ์ในอดีต จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการทางปัญญาเข้ามามีอิทธิพลในการเรียนรู้ด้วย ทฤษฎีกลุ่มนี้จึงเน้นกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Process) มากกว่า การวางเงื่อนไข เพื่อให้เกิดพฤติกรรม ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ปัญญาทางสังคม การเรียนรู้แบบการหยั่งรู้ เป็นต้น<br />ตัวอย่างทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำค</span></div><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">1. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning Theory) หรือ แบบสิ่งเร้า<br /> ผู้ค้นพบการเรียนรู้ลักษณะนี้คือ อีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov, 1849–1936) นักสรีรวิทยาชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงมาก พาฟลอฟสนใจศึกษาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โดยได้ทำการ-ทดลองกับสุนัข ระหว่างที่ทำการทดลอง พาฟลอฟสังเกตเห็นปรากฎการณ์บางอย่างคือ ในบางครั้งสุนัขน้ำลายไหลโดยที่ยังไม่ได้รับอาหารเพียงแค่เห็น ผู้ทดลองที่เคยเป็นผู้ให้อาหารเดินเข้ามาในห้องนั้น สุนัขก็น้ำลายไหลแล้ว จากปรากฎการณ์ดังกล่าวจุดประกาย ให้พาฟลอฟคิดรูปแบบการทดลองเพื่อหาสาเหตุให้ได้ว่า เพราะอะไรสุนัขจึงน้ำลายไหลทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอาหาร พาฟลอฟเริ่มการทดลองโดยเจาะต่อมน้ำลายของสุนัขและต่อสายรับน้ำลายไหลออกสู่ขวดแก้วสำหรับวัดปริมาณน้ำลาย จากนั้นพาฟลอฟก็เริ่มการทดลองโดยก่อนที่จะให้อาหารแก่สุนัขจะต้องสั่นกระดิ่งก่อน (สั่นกระดิ่งแล้วทิ้งไว้ประมาณ .25 –.50 วินาที) แล้วตามด้วยอาหาร (ผงเนื้อ) ทำอย่างนี้อยู่ 7–8 วัน จากนั้นให้เฉพาะแต่เสียงกระดิ่ง สุนัขก็ตอบสนองคือน้ำลายไหลปรากฎการณ์เช่นนี้เรียกว่าพฤติกรรมสุนัขถูกวางเงื่อนไขหรือเรียกว่าสุนัขเกิดการเรียนรู้การวางเงื่อนไขเบบคลาสสิก<br />2. ทฤษฎีปัญญาทางสังคม (Social Cognitive theory)<br /> แนวคิดพื้นฐาน<br /> 1. แบนดูรามีทัศนะว่า พฤติกรรม (behavior หรือ B) ของมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยหลักอีก 2 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยทางปัญญาและปัจจัยส่วนบุคคลอื่น ๆ (Personal Factor หรือ P) </span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">2) อิทธิพลของสภาพ แวดล้อม (Environmental Influences หรือ E) ดังรูป<br /> จากรูปจะเห็นว่า B P และ E ล้วนแต่มีลูกศรชี้เข้า หากันและกัน ซึ่งหมายถึงต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่นนักศึกษาที่เข้าไป เรียนในชั้นเรียนซึ่งเพื่อนนักศึกษา ส่วนมากขยันตั้งใจเรียน ฉะนั้นเมื่อสภาพแวดล้อม (E) เป็นเช่นนี้ก็ส่งผล ให้นักศึกษาเชื่อ (P) ว่าความขยัน และการตั้งใจเรียนเป็นบรรทัดฐานของกลุ่มนี้ ซึ่งมีผลให้นักศึกษามี พฤติกรรม (B) ซึ่งแสดงถึงความขยัน และ ตั้งใจเรียนไปด้วย และพฤติกรรมซึ่งแสดงความขยันและตั้งใจ เรียนของนักศึกษาก็ทำหน้าที่เป็นสภาพแวดล้อม (E) ให้กับนักศึกษาคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน<br /> 2. แบนดูราได้ให้ความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้ (Learning) กับการกระทำ(Performance)ซึ่งสำคัญมาก เพราะคนเราอาจจะเรียนรู้อะไรหลายอย่างแต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกทุกอย่าง เช่นเราอาจจะเรียนรู้วิธีการ ทุจริตในการสอบว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ถึงเวลาสอบจริงเราอาจจะไม่ทุจริตก็ได้ หรือเราเรียนรู้ว่าการพูดจาและแสดงกริยาอ่อนหวาน กับพ่อ แม่เป็นสิ่งดีแต่เราอาจจะไม่เคยทำกริยาดังกล่าวเลยก็ได้ 3. แบนดูราเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สำหรับตัวแบบไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่อาจจะ เป็นตัวแบบสัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกมส์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็นรูปภาพ การ์ตูน หนังสือ นอกจากนี้ คำบอกเล่าด้วยคำพูดหรือข้อมูลที่เขียนเป็นลายลักษณ์-อักษรก็เป็นตัวแบบได้<br /> 3. กระบวนการเรียนรู้โดยการสังเกต<br />การเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบประกอบไปด้วย 4 กระบวนการ คือ กระบวนการใส่ใจ กระบวนการเก็บจำ กระบวนการกระทำและกระบวนการจูงใจ 1. กระบวนการใส่ใจ (Attentional processes) เป็นกระบวนการที่มนุษย์ใส่ใจและสนใจรับรู้พฤติกรรมของตัวแบบ การเรียนรู้โดยการสังเกต จะเกิดขึ้นได้มากก็ต่อเมื่อบุคคลใส่ใจต่อพฤติกรรมของตัวแบบ แต่การจะใส่ใจได้มากน้อยเพียงไรขึ้น อยู่กับปัจจัยหลัก 2 ปัจจัยคือ ปัจจัยเกี่ยวกับตัวแบบ และปัจจัยเกี่ยวกับผู้สังเกต<br />ปัจจัยเกี่ยวกับตัวแบบ ได้แก่- ความเด่นชัด ตัวแบบที่มีความเด่นชัดย่อมดึงดูดให้คนสนใจได้มากกว่าตัวแบบที่ไม่เด่น- ความซับซ้อนของเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวแบบถ้ามีความซับซ้อนมากจะทำให้ผู้สังเกตมีความใส่ใจน้อยกว่าเหตุการณ์ที่มีความซับซ้อนน้อย- จำนวนตัวแบบ พฤติกรรมหนึ่ง ๆ หากมีตัวแบบแสดงหลายคนก็เรียกความสนใจใส่ใจจากผู้สังเกตได้มาก หรือการมีตัวแบบที่หลากหลายก็เรียกความสนใจจากผู้สังเกตได้มากเช่นกัน- คุณค่าในการใช้ประโยชน์ ตัวแบบที่แสดงพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สังเกตจะได้รับความสนใจมากกว่าตัวแบบที่เป็นไปในทางตรงข้าม เช่น ผู้ที่สนใจการทำอาหารก็จะให้ ความใส่ใจเป็นพิเศษกับรายการโทรทัศน์ ที่สอนการทำอาหาร เป็นต้น - ความรู้สึกชอบ/ไม่ชอบ ถ้าผู้สังเกตมีความรู้สึกชอบตัวแบบอยู่แล้ว ผู้สังเกตก็จะให้การใส่ใจกับพฤติกรรมของตัวแบบมากกว่ากรณีที่ผู้สังเกตไม่ชอบตัวแบบนั้นเลย ฉะนั้น การโฆษณาสินค้าผ่านสื่อโทรทัศน์ จึงมักใช้ตัวแบบที่เป็นชื่นชอบของประชาชนมาเป็นตัวแบบเพื่อกชวนให้ประชาชนใช้สินค้าที่โฆษณา โดยคาดหวังให้ประชาชนใส่ใจกับการโฆษณาของตน<br />ปัจจัยเกี่ยวกับผู้สังเกต- ความสามารถในการรับรู้ รวมถึงความสามารถในการเห็น การได้ยิน การอ่าน การรู้รส การรู้ กลิ่น และการสัมผัส ผู้สังเกตที่มีความสามารถในการรับรู้สูงก็มีโอกาสใส่ใจกับตัวแบบได้มากกว่าผู้สังเกตที่มีความสามารถในการรับรู้ต่ำ- ระดับความตื่นตัว การวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าบุคคลที่มีความตื่นตัวระดับปานกลางมีโอกาสจะ ใส่ใจกับพฤติกรรมของตัวแบบได้มากกว่าบุคคลที่มีความตื่นตัวต่ำ เช่น กำลังง่วงนอน หรือมี ความตื่นตัวสูง เช่น กำลังตกใจหรือดีใจอย่างมาก- ความชอบ/รสนิยมที่มีมาก่อน ผู้สังเกตมักมีความชอบสังเกตตัวแบบบางชนิดมากกว่าตัวแบบบางชนิดอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นตัวแบบที่สอดคล้องกับความชอบของผู้สังเกตก็ทำให้ผู้สังเกตใส่ใจ กับตัวแบบได้มาก เช่น เด็กเล็กชอบดูการ์ตูนมาก ตัวการ์ตูนก็มีโอกาสเป็นตัวแบบให้กับเด็ก ได้มาก ส่วนวัยรุ่นมักชอบตัวแบบที่เป็นนักร้อง นักแสดงยอดนิยมเป็นต้น</span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">2. กระบวนการเก็บจำ (Retention processes) เป็นขั้นที่ผู้สังเกตบันทึกสิ่งที่ตนสังเกตจากตัวแบบไปเก็บไว้ในความจำระยะยาว ซึ่งอาจจะ เก็บจำในรูปของภาพ หรือคำพูดก็ได้ แบนดูราพบว่า ผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรมของตัวแบบ ออกมาเป็นคำพูด หรือสามารถมีภาพของสิ่งที่ตนสังเกตไว้ในใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้โดย การสังเกตได้ดีกว่าผู้ที่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หรือทำงานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย สรุปแล้วผู้สังเกตที่สามารถระลึกถึงสิ่งที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ (Visual Imagery) และสามารถเข้ารหัสด้วยคำพูด หรือถ้อยคำ (Verbal Coding) จะเป็นผู้ที่สามารถแสดงพฤติกรรมเลียนแบบจากตัวแบบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน และนอกจากนี้ถ้าผู้สังเกตมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวแบบแสดงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ซ้ำก็จะเป็น การช่วยความจำให้ดียิ่งขึ้น<br />3. กระบวนการกระทำ (Production processes) เป็นกระบวนการที่ผู้สังเกตเอาสิ่งที่เก็บจำมาแปลงเป็นการกระทำ ปัจจัยที่สำคัญของกระบวนการนี้คือ ความพร้อมทางด้านร่างกายและทักษะที่จำเป็นจะต้องใช้ในการเลียนแบบของผู้สังเกต ถ้าผู้สังเกตไม่มีความพร้อมก็ไม่สามารถที่จะแสดงพฤติกรรมเลียนแบบได้แบนดูรา กล่าวว่า การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบไม่ใช่เป็นพฤติกรรมที่ลอกแบบอย่างตรงไปตรงมา การเรียนรู้โดยการสังเกตมีปัจจัยในเรื่อง กระบวนการทางปัญญา (Cognitive Process) และความพร้อมทางด้านร่างกายของผู้สังเกต ฉะนั้นในขั้นกระบวนการกระทำ หรือขั้นของการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบของแต่ละบุคคลจึงต่างกันไป ผู้สังเกตบางคนอาจจะทำได้ดีกว่าตัวแบบหรือบางคนก็สามารถเลียนแบบ ได้เหมือนมาก ในขณะที่บางคนก็อาจจะทำได้ไม่เหมือนกับตัวแบบเพียงแต่คล้ายคลึงเท่านั้น หรือบางคนอาจจะไม่สามารถแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบเลยก็ได้<br />4. กระบวนการจูงใจ (Motivation process) ตามที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อแนวคิดพื้นฐานข้อที่ 2 คือ แบนดูราแยกความแตกต่างระหว่าง การเรียนรู้ (Learning ) ออกจาก การกระทำ (Performance) นั่นคือ เราไม่จำเป็นต้องแสดงพฤติกรรม ทุกอย่างที่ได้เรียนรู้ออกมา เราจะทำหรือไม่ทำพฤติกรรมนั้น ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีแรงจูงใจมากน้อย แค่ไหน เช่น เราอาจจะเรียนรู้วิธีการเต้นแอโรบิค จากโทรทัศน์ แต่เราก็ไม่ยอมเต้นอาจจะเป็น เพราะขี้เกียจ ฯลฯ แต่อยู่มาวันหนึ่ง เราไปเจอเพื่อนเก่าซึ่งทักว่าเราอ้วนมากน่าเกลียด คำประณาม ของเพื่อนสามารถจูงใจให้เราลุกขึ้นมาเต้นแอโรบิค จนลดความอ้วนสำเร็จ เป็นต้น4. การเรียนรู้โดยการหยั่งรู้ (Insight Learning)<br />นักจิตวิทยาที่สนใจเรื่องการเรียนรู้โดยการหยั่งรู้ และทำการทดลองไว้คือ โคท์เลอร์ (Kohler, 1925)โคท์เลอร์ ได้ทดลองกับลิงชื่อ "สุลต่าน" โดยขังสุลต่านไว้ในกรง และเมื่อสุลต่านเกิดความหิว เพราะถึง เวลาอาหาร โคท์เลอร์ ได้วางผลไม้ไว้นอกกรงในระยะที่สุลต่านไม่สามารถเอื้อมถึงได้ด้วยมือเปล่าพร้อม กับวางท่อนไม้ซึ่งมีขนาด ต่างกัน สั้นบ้างยาวบ้าง (ดังรูปที่ 5) ท่อนสั้นอยู่ใกล้กรงแต่ท่อนยาวอยู่ห่างออกไป สุลต่านคว้าไม้ท่อนสั้นได้ แต่ไม่สามารถเขี่ยผลไม้ได้ สุลต่านวางไม้ท่อนสั้นลงและวิ่งไปมาอยู่สักครู่ ทันใดนั้น"สุลต่าน" ก็จับไม้ท่อนสั้นเขี่ยไม้ท่อนยาวมาใกล้ตัว และหยิบไม้ท่อนยาวเขี่ยผลไม้มากินได้ พฤติกรรมของสุลต่านไม่มีการลองผิดลองถูกเลย โคท์เลอร์จึงได้ สรุปว่า สุลต่านมีการหยั่งรู้ (Insight) ในการแก้ปัญหาคือมองเห็นความสัมพันธ์ของไม้ท่อนสั้นและท่อนยาวและ ผลไม้ได้ จากการทดลองของโคท์เลอร์ โคท์เลอร์ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการหยั่งรู้ ไว้ดังนี้ </span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">1. แนวทางการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาของผู้เรียนมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดจึงเรียกว่า Insight </span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">2. การที่จะมีความสามารถเรียนรู้แก้ปัญหาอย่างทันทีทันใดได้นั้นผู้เรียนจะต้องมีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาทำนองเดียวกันมาก่อนเพราะจะช่วยทำให้มองเห็นช่องทางในการแก้ปัญหาแบบใหม่ได้ </span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">3. นอกเหนือจากประสบการณ์เดิมแล้วผู้เรียนจะต้องมีความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ ต่างๆ เพราะการที่มีความสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ นี้เองจะมีส่วนช่วยให้ ผู้เรียนมีการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องความสามารถดังกล่าวนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ ผู้เรียนจะต้องมีระดับสติปัญญา ดีพอสมควรจึงสามารถแก้ปัญหาโดยการหยั่งรู้ได้</span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">อ้างอิง </span><a href="http://school.obec.go.th/sup_br3/rn_05.htm"><span style="font-size:130%;color:#ffffff;">http://school.obec.go.th/sup_br3/rn_05.htm</span></a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-32882116101634596202009-09-17T23:40:00.000-07:002009-09-17T23:44:31.418-07:00ท่องที่ชัยภูมิ<span style="font-family:trebuchet ms;color:#ffffff;">ชัยภูมิ เมืองผู้กล้า พญาแล<br />ชัยภูมิ ตั้งอยู่บนสันขอบที่ราบสูงอีสาน ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับภาคกลางและภาคเหนือ เป็นดินแดนแห่งทุ่งดอกกระเจียวแสนงาม และสายน้ำตกชุ่มฉ่ำยามหน้าฝน เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน มีเทือกเขาที่สำคัญได้แก่ ภูพังเหย ภูแลนคา ภูพญาฝ่อ อันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำชี<br />ด้านประวัติศาสตร์ ชัยภูมิมีอารยธรรมซ้อนทับกันหลายสมัย ตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยขอม จนถึงอิทธิพลลาวล้านช้าง มีการค้นพบโบราณสถานโบราณวัตถุมากมายในหลายพื้นที่ของจังหวัด ต่อมาปรากฏชื่อเป็นเมืองหน้าด่านในสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังจึงร้างไป และมาปรากฏชื่ออีกครั้งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีชาวเวียงจันทน์เข้ามาสร้างบ้านแปงเมือง มีผู้นำชื่อ แล ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองคนแรกของชัยภูมิ<br />ชัยภูมิอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 342 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 12,778 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 16 อำเภอ คือ อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอบ้านเขว้า อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอหนองบัวแดง อำเภอจัตุรัส อำเภอภูเขียว อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอบ้านแท่น อำเภอแก้งคร้อ อำเภอคอนสาร อำเภอเทพสถิต อำเภอหนองบัวระเหว อำเภอภักดีชุมพล อำเภอเนินสง่า และอำเภอซับใหญ่<br />อาณาเขตทิศเหนือ ติดกับจังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัด ขอนแก่น ทิศใต้ ติดกับจังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดลพบุรี<br />หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ โรงพยาบาลชัยภูมิ โทร. 0 4481 1005-8 ศูนย์บริการข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดชัยภูมิ โทร. 0 4481 2516, 0 4481 1376 สำนักงานจังหวัดชัยภูมิ โทร. 0 4481 1418 สถานีขนส่งชัยภูมิ โทร. 0 4481 1493 สถานีตำรวจ โทร. 0 4481 1242<br />Link ที่น่าสนใจ สำนักงานจังหวัดชัยภูมิ </span><a href="http://www.chaiyaphum.go.th/" target="_blank"><span style="font-family:trebuchet ms;color:#ffffff;">http://www.chaiyaphum.go.th</span></a><span style="font-family:trebuchet ms;color:#ffffff;"><br />อ้างอิง </span><a href="http://thai.tourismthailand.org/destination-guide/chaiyaphum-36-1-1.html"><span style="font-family:trebuchet ms;color:#ffffff;">http://thai.tourismthailand.org/destination-guide/chaiyaphum-36-1-1.html</span></a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-18671280865006426602009-09-17T23:30:00.000-07:002009-09-17T23:33:24.588-07:00การบวกจำนวนเต็ม<div align="center"><span style="font-family:verdana;color:#ffffff;">การบวกจำนวนเต็มชนิดเดียวกัน</span></div><div align="left"><br /><span style="font-family:verdana;color:#ffffff;">หลักการ คือ ให้นำค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็มนั้นมาบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นจำนวนเต็มบวกหรือจำนวนเต็มลบตามชนิดของจำนวนที่นำมาบวกกัน<br />1. การบวกจำนวนเต็มบวกกับจำนวนเต็มบวก<br />ตัวอย่างที่ 1 10 + 12 =<br />ค่าสัมบูรณ์ของ 10 หรือ 10 = 10<br />ค่าสัมบูรณ์ของ 12 หรือ 12 = 12<br /> ดังนั้น 10 + 12 = 10 + 12<br /> = 22<br /> นั่นคือ 10 + 12 = 22<br />ถ้าพิจารณาการบวกโดยใช้เส้นจำนวน ก็จะได้ดังนี้<br />ตัวอย่างที่ 2 3 + 4 = <br />ดังนั้น 3 + 4 = 7<br />การใช้เส้นจำนวนในการหาผลบวกระหว่างจำนวนเต็มวกกับจำนวนเต็มบวกการเคลื่อนที่ของลูกศร จะไปในทิศทางเดียวกัน คือ เคลื่อนที่ไปทางขวาตลอด ดังนั้นเมื่อจบการเคลื่อนที่ ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นจำนวนเต็มบวกที่มีระยะห่างจาก 0 เป็นระยะทางเท่ากับผลบวกของระยะทางที่ทั้งสองห่างจาก 0<br />2. การบวกจำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มลบ<br />หลักการ คือ นำค่าสัมบูรณ์มาบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นจำนวนเต็มลบ<br />ตัวอย่างที่ 3 (-15) + (-20) =<br /> ค่าสัมบูรณ์ของ -15 หรือ -15 = 15<br /> ค่าสัมบูรณ์ของ -20 หรือ -20 = 20<br />ดังนั้น 15 + 20 = 15 + 20 = 35<br />แต่ผลลัพธ์ที่ได้ต้องเป็นจำนวนเต็มลบ<br />ดังนั้น (-15) + (-20) = -35<br />ถ้าพิจารณาเส้นจำนวน ก็จะได้ดังนี้<br />ตัวอย่างที่ 4 (-3) + (-3) = ดังนั้น (-3) + (-3) = -6<br />จะเห็นว่าการเคลื่อนที่ของลูกศรจะไปในทิศทางเดียวกันคือ เคลื่อนไปทางซ้ายตลอด ดังนั้นเมื่อจบการเคลื่อนที่ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นจำนวนเต็มลบที่มีระยะห่างจาก 0 เป็นระยะทางเท่ากับผลบวกของระยะทางที่จำนวนทั้งสองอยู่ห่างจากศูนย์เราจึงสามารถสรุปเป็นวิธีการที่จะใช้ในการหาผลบวกระหว่างจำนวนเต็มลบ<br />สรุป<br />1. การบวกจำนวนเต็มบวกกับจำนวนเต็มบวก คือ การนำค่าสัมบูรณ์มาบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้เป็นจำนวนเต็มบวก<br />2. การบวกจำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มลบ คือ การนำค่าสัมบูรณ์มาบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้เป็นจำนวนเต็มลบ<br />การบวกจำนวนเต็มต่างชนิดกัน<br />หลักการ คือ ให้นำค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็มทั้งสองนั้นมาลบกันและผล<br />ลัพธ์จะเป็น จำนวนเต็มบวกหรือจำนวนเต็มลบตามจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มาก<br />ตัวอย่างที่ 1 -9 + 5 =<br />ค่าสัมบูรณ์ของ -9 หรือ -9 = 9<br />ค่าสัมบูรณ์ของ 5 หรือ 5 = 5<br />นำค่าสัมบูรณ์ที่มากกว่าเป็นตัวตั้งแล้วลบด้วยค่าสัมบูรณ์ที่น้อยกว่า<br />จะได้ -9 - 5 = 9 – 5= 4<br />ผลลัพธ์ที่ได้เป็นจำนวนเต็มลบ ตามจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า<br />ดังนั้น (-9) + 5 = -4<br />วิธีสั้นๆ คือ (-9) + 5 = - ( -9 - 5 )<br /> = - ( 9 - 5 )<br /> = -4<br />ถ้าพิจารณาเส้นจำนวน ก็จะได้ดังนี้<br />ตัวอย่างที่ 2 5 + (-2) =<br />หลักการ ใช้ 0 เป็นจุดเริ่มต้น เคลื่อนไปทางขวา 5 หน่วย แล้วเคลื่อนย้อนกลับมาทางซ้าย 2 หน่วย จะหยุดที่ 3<br />ดังนั้น 5 + (-2) = 3<br />สรุป<br />การบวกจำนวนเต็มต่างชนิดกัน คือการนำเอาจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่าเป็นตัวตั้ง แล้วลบส่วนที่มีค่าสัมบูรณ์น้อยกว่า ผลลัพธ์ที่ได้ เป็นจำนวนเต็มบวก หรือจำนวนเต็มลบ ตามจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า</span></div><div align="left"><span style="font-family:verdana;color:#ffffff;"> อ้างอิง </span><a href="http://tc.mengrai.ac.th/kruawan/index3.htm"><span style="font-family:verdana;color:#ffffff;">http://tc.mengrai.ac.th/kruawan/index3.htm</span></a></div>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-15389390204422986812009-09-17T08:12:00.000-07:002009-09-17T08:16:41.891-07:00การชั่ง<div align="center"> เครื่องชั่ง</div>1.เครื่องชั่งและหน่วยที่ใช้ในการชั่ง <br /> การชั่งแบบใช้หน่วยกลางอาจจะเปรียบเทียบได้ แต่ใช้หน่วยการวัดที่แต่กันทำให้ความเข้าใจของแต่ละคนไม่ตรงกัน จึงมีเครื่องมือมาตรฐานและหน่วยที่เป็นมาตรฐานในการวัด เช่น เครื่องชั่งสปริง เครื่องชั่งน้ำหนักตัว เครื่องชั่ง 2 แขน เครื่องชั่งแบบตุ้มเลื่อน เครื่องชั่งจีน เครื่องชั่งแบบหน้าปัด เครื่องชั่งเป็นเครื่องมือสำหรับชั่งน้ำหนัก ซึ่งได้รับการประทับเครื่องหมายรับรองเป็นรูปขอบนอกของครุฑ จากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ลงบนเครื่องชั่งนั้น หน่วยวัดน้ำหนักที่นิยมใช้กันคือ กิโลกรัม เขียนย่อ กก. และกรัมเขียนย่อว่า ก.<br />2.การชั่งน้ำหนัก เป็น กิโลกรัม กรัม ขีด <br /> ส้มหนัก 1 กิโลกรัม เข็มชี้ที่ 1 กิโลกรัม มังคุดหนัก 10 ขีด เข็มชี้ที่ 1กิโลกรัม เงาะหนัก 1,000 เข้มชี้ที่ 1 กิโลกรัม จะเห็นได้ว่า ส้ม มังคุด และเงาะ มีน้ำหนักเท่ากันแสดงว่า น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เท่ากับ น้ำหนัก 1,000 กรัม น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เท่ากับ น้ำหนัก 10 ขีดน้ำหนัก 1,000 กรัม เท่ากับ น้ำหนัก 10 ขีดกิโลกรัม กรัม ขีด เป็นหน่วยมาตรฐานที่ใช้บอก น้ำหนักของสิ่งที่ชั่ง<br />3.การเปรียบเทียบน้ำหนัก<br />ปลา หนัก 1 กิโลกรัม ไก่ หนัก 1 กิโลกรัม 5 ขีด 1 กิโลกรัม น้อยกว่า 1 กิโลกรัม 5ขีดดังนั้น น้ำหนักปลา น้อยกว่า น้ำหนักไก่<br />การเปรียบน้ำหนักสิ่งของนั้นควรเปรียบเทียบหน่วยกิโลกรัมก่อน ถ้าหน่วยกิโลกรัมเท่ากับ ให้เปรียบเทียบหน่วยที่เป็นกรัมหรือขีด<br />4.การแก้โจทย์ปัญหา<br /> ตัวอย่างที่1 จ่อยมีเนื้อหมูหนัก 12 กิโลกรัม คิดเป็นกี่ขีด<br />1.ทำความเข้าใจโจทย์ จ่อยมีเนื้อหมูหนัก 12 กิโลกรัม คิดเป็นกี่ขีด<br />2.วางแผนและแก้ปัญหา 1กิโลกรัม เท่ากับ 10 ขีด จากโจทย์ เขียนเป็นประโยคสัญลักษณ์ได้ดังนี้ 12 10 =<br />วิธีทำ มีเนื้อ หมู 12 กิโลกรัม1กิโลกรัมมี 10 ขีดดังนั้นจ่อยมีเนื้อหมู 120 ขีด<br />ตอบ จ่อยมีเนื้อหมู หนัก ๑๒0 ขีด <br />3.ตรวจคำตอบ<br />10 ขีด เท่ากับ 1 กิโลกรัม120 ขีด เท่ากับ 120 10 = 12 กิโลกรัมดังนั้นคำตอบถูกต้อง<br />อ้างอิง <a href="http://search.winamp.com/search/search?&query=%EF%BF%BD%EF%BF%BD%C3%AA%EF%BF%BD%EF%BF%BD&invocationType=tb50winampab">http://search.winamp.com/search/search?&query=%EF%BF%BD%EF%BF%BD%C3%AA%EF%BF%BD%EF%BF%BD&invocationType=tb50winampab</a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-52985718497846597602009-09-12T19:56:00.000-07:002009-09-12T20:00:29.980-07:00ตัวอย่างเทคนิคคณิตคิดเลขลัด<span style="color:#000000;"><br />ตัวอย่างเทคนิคคณิตคิดเลขลัด</span><br /><span style="color:#000000;">โดย © 2009 http://SmartMathsTutor.Bloggang.com<br />นายเขียวกับนายขาวอยู่ห่างกัน 18 กม. และต่างก็ขับรถยนต์เข้าหากันด้วยความเร็ว 48 และ 60 กม.ต่อชั่วโมงตามลำดับ ทั้งสองออกเดินทางพร้อมกัน นานเท่าใดทั้งสองคนนี้จะพบกัน</span><br /><span style="color:#000000;">วิธีคิด (สอนให้วาดรูป แล้ววิเคราะห์ปัญหาจากความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ฝึกคิดนอกกรอบและประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันให้เป็น) ตามความเป็นจริง นายเขียวและนายขาวจะต้องมาพบกัน ณ. เวลาเดียวกัน (โดยใช้เวลาเท่ากัน T นาที) แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ระยะทางและความเร็วลองวาดรูปดูก่อน<br /></span><a href="http://www.bloggang.com/data/s/smartmathstutor/picture/1251278800.jpg" target="_blank"></a><br /><span style="color:#000000;">เราพบว่า </span><br /><span style="color:#000000;">ระยะทางที่นายเขียวใช้ + ระยะทางที่นายขาวใช้ = 18 กม.จาก </span><br /><span style="color:#000000;">V = S/T (ความเร็ว = ระยะทาง / เวลา) </span><br /><span style="color:#000000;">จะได้ว่า S = V * T (ระยะทาง = ความเร็ว * เวลา)<br /></span><a href="http://www.bloggang.com/data/s/smartmathstutor/picture/1251278836.jpg" target="_blank"></a><br /><span style="color:#000000;"> (48 * T) + (60 * T) = 18 สังเกตว่าทุก term หน่วยเป็นกม. </span><br /><span style="color:#000000;"> 108 * T = 18 </span><br /><span style="color:#000000;">T = (18 / 108) </span><br /><span style="color:#000000;">= 1/6 ชั่วโมงในเวลา 1 ชม. เท่ากับเวลา 60 นาที </span><br /><span style="color:#000000;">ถ้า 1/6 ชม. ก็จะเท่ากับเวลา [(1/6) * 60] / 1 = 10 นาที</span><br /><span style="color:#000000;"></span><br /><span style="color:#000000;">อ้างอิง</span><a href="http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=smartmathstutor&date=26-08-2009&group=9&gblog=4"><span style="color:#000000;">http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=smartmathstutor&date=26-08-2009&group=9&gblog=4</span></a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-7607809255087510742009-09-12T19:40:00.000-07:002009-09-12T19:52:44.896-07:00นวัตกรรมและเทคโนโลยีการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์<div align="left"><span style="color:#ffffff;">ใบงานที่1.นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์<br />1.ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นอย่างไร<br />-ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้</span><a title="เทคโนโลยี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5"><span style="color:#ffffff;">เทคโนโลยี</span></a><span style="color:#ffffff;"> การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทาง</span><a title="จิตวิทยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2"><span style="color:#ffffff;">จิตวิทยา</span></a><span style="color:#ffffff;">ที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน<br />อ้างอิง </span><a href="http://www.geocities.com/jatuponlimtakul/jitavitaya.htm"><span style="color:#ffffff;">http://www.geocities.com/jatuponlimtakul/jitavitaya.htm</span></a><span style="color:#ffffff;"><br />สรุปทฤษฎีการเรียนรู้ ข้อความรู้ที่บรรยาย อธิบาย พรรณนา ทำนาย ปรากฏการต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ ที่ได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และยอมรับ ว่าเชื่อถือได้ สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนได้ </span></div><div align="left"><br /><span style="color:#ffffff;">2.มีทฤษฎีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ และแต่ละทฤษฎีเป็นอย่างไร<br />ทฤษฎีการเรียนรู้แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ดังนี้<br />-กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) คือ มนุษย์ไม่ดี ไม่เลว การกระทำของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงของสิ่งเร้า กับการตอบสนอง ให้ความสนใจพฤติกรรม เพราะ เห็นได้ชัด วัดได้ ทดสอบได้<br />-กลุ่มพุทธินิยม(Cognitivism) คือเน้นกระบวนการทางปัญญา กระบวนการ ความคิด เป็นกระบวนการภายในสมอง เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิด สะสมข้อมูล สร้างความหมาย ความสัมพันธ์ของข้อมูล ดึงข้อมูลมาใช้ในการแก้ปัญหา<br />-กลุ่มมนุษยนิยม(Humanism) คือ ให้ความสำคัญของมนุษย์ มองมนุษย์มีค่า มีความดีความงาม ต้องการพัฒนา ศักยภาพ หากได้รับอิสรภาพ เสรีภาพ จะพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์<br />-กลุ่มผสมผสาน(Eclecticsm) คือ Cagne นำ Behaviorism และ Cognitivism มาผสมผสานมีหลักการจัดการเรียนรู้ 9 ขั้น สสร้างความสนใจ แจ้งจุดประสงค์ กระตุ้นความรู้เดิม เสนอบทเรียนใหม่ ให้แนวทางการเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ แจ้งข้อมูลย้อนกลับ ประเมินพฤติกรรมตามจุดประสงค์ ส่งเสริมความแม่นยำ<br /><br />ทฤษฏี หลักการ และแนวคิด<br />-ทฤษฎีของฮัลล์ ( Hull)<br />1.กฎแห่งสมรรถภาพในการตอบสนอง<br />2.กฎแห่งการลำดับกลุ่ม<br />3.กฎแห่งการใกล้จะบรรลุเป้าหมาย<br />-ทฤษฎี ของเกสตัลท์ ( Gestalt)<br />1.กฎแห่งความใกล้ชิด<br />2.กฎแห่งความคล้าย<br />3.กฎแห่งความสมบูรณ์<br />4.กฎแห่งความต่อเนื่องที่ดี<br />-ทฤษฎีของทอลแมน ( Tolman )<br />1.ในการเรียนรู้ต่าง ๆ ผู้เรียนมีการคาดหมายรางวัล<br />2.ผู้เรียนจะบรรลุเป้าหมายจะต้องเกิดการเรียนรู้กฎหมาย<br />3.ผู้เรียนมีความสามารถที่จะปรับการเรียนรู้ของตนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จะไม่ทำซ้ำ ๆ ตามวัตถุประสงค์ของตนเอง<br />4.การเรียนรู้บางอย่างอาจยังไม่สามารถแสดงออกได้ในทันที<br />-ทฤษฎีของรอเจอร์ ( Roger )<br />1.จัดบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการเรียนรู้<br />2.เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ<br />3.การเรียนจะเน้นกระบวนการ<br /><br />-การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ เมเยอร์<br />1.พฤติกรรม ควรชี้ชัดและสังเกตในสื่อการเรียนได้<br />2.เงื่อนไข พฤติกรรมสำเร็จได้ควรมีเงื่อนไข เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการเข้าใจได้ง่ายขึ้น<br />3.มาตรฐาน พฤติกรรมที่ได้นั้นสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด<br />-พหุปัญญา หรือ เชาว์ปัญญา 8 ด้าน<br />1.ปัญญาด้านภาษา คือ การสื่อความหมายด้านภาษาให้ผู้ฟังได้ดีและเข้าใจ<br />2.ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ เช่น นักบัญชี นักสถิติ<br />3.มิติสัมพันธ์ คือ เป็นการรับรู้ทางสายตาได้ดี เช่น จิตรกร วาดรูป<br />4.ด้านร่างกายและเคลื่อนไหว คือ เน้นการสื่อในการคิด และความคล่องแคล่วอย่างว่องไว<br />5.ด้านดนตรี คือ ด้านการรับรู้<br />6.ด้านมนุษย์สัมพันธ์ เช่น ครูอาจารย์ เชล<br />7. ด้านการเข้าใจตนเอง คือ รู้จักตระหนักในตนเอง ควบคุมตนเองตามการแสดง เช่น นักวิจัย นักปราชญา<br />8.ด้านธรรมชาติวิทยา เช่น นักธรณีวิทยา นักวิจัย<br />-ทฤษฎีการผสมผสานของกานเย โดยมีหลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้ คือ การจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบซึ่งเริ่มจากง่ายไปหายากมีทั้งหมด 9 ขั้นดังนี้<br />ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ ผู้สอนจะต้องมีความเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อสร้างความสนในให้กับผู้เรียน<br />ขั้นที่ 2 แจ้งจุดประสงค์ให้กับผู้เรียน เพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนสร้างความสนใจในสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง<br />ขั้นที่ 3 การกระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมที่จำเป็น<br />ขั้นที่ 4 เสนอแบบเรียนใหม่ คือ ในเรื่องที่ผู้สอนจะเรียนนั้น<br />ขั้นที่ 5 ให้แนวทางการเรียนรู้ คือ ให้ผู้เรียนออกไปเรียนรู้ในห้องสมุดหรือนอกห้องเรียน<br />ขั้นที่ 6 ให้ลงมือปฏิบัติ คือ ให้ผู้เรียนได้ทำแบบฝึกหัด<br />ขั้นที่ 7 ให้ข้อมูลป้อนกลับ คือ ผู้สอนจะต้องเฉลยแบบฝึกหัดเพื่อช่วยแก้ไขข้อที่ทำไม่ได้<br />ขั้นที่ 8 ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ คือผู้สอนจะต้องมีการทดสอบผู้เรียนในเรื่องที่สอนเพื่อให้นักเรียนขั้นที่ 9 ส่งเสริมความแม่นยำ และการถ่ายโอนการเรียนรู้<br />อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%<br />สรุปการเรียนรู้ และแต่ละทฤษฎี คือ การนำเอาแต่ละทฤษฏีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนรู้ การเรียนรู้ การเกิดประสบการณ์เมื่อมนุษย์ ได้รับกระทบสัมผัสจากสิ่งเร้าต่างๆ ผ่านทางอวัยวะรับสัมผัส และตัวรับสัมผัส เช่นน้ำมะนาว หยดลงบนลิ้น จะเกิดการเรียนรู้ และตีความหมายแห่งการสัมผัสนั้นๆ<br />3.นวัตกรรม คือ “นว” หมายถึง ใหม่ “กรรม” หมายถึง ความคิดและการกระทำ นวกรรม จึงหมายถึง ความคิดและการกระทำใหม่ๆ ทางการศึกษา บางสิ่งบางอย่างทางการศึกษา ยังอาจอยู่ในรูปของความคิด-ความที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้น แต่ยังไม่ได้เอาไปใช้ เช่น คิดจะให้นักเรียน เรียนบางอย่างด้วยตนเองจากบทเรียน โปรแกรม (ประดิษฐ์ ฮวบเจริญ : 145: เทคโนโลยีทางการศึกษา)<br />นวกรรม(innovation) จึงจำแนกตามรากศัพท์มาจากคำว่า นว+กรรม<br />นว หมายถึง ใหม่กรรม หมายถึง วิธีการ หลักปฏิบัติ หรือแนวความคิด<br />ดังนั้น นวกรร หมายถึง วิธีการหลักการปฏิบัติ หรือแนวคิดใหม่ๆ<br />-มอร์ต้น(J.A Morton) กล่าวว่านวกรรม หมายถึง การทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หมายถึงการปรับปรุงของเก่า และพัฒนาศักยภาพของบุคคลกรตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การนั้นๆ -นวัตกรรม หมายถึง เป็นแนวความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ ใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาการดัดแปลง จากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น -นวัตกรรม (innovation) ทอมัส ฮิวซ์ (Thomas Hughes) กล่าวว่า นวัตกรรมการนำเอาวิธีการใหม่ๆ มาปฏิบัติ หลักจากการได้ผ่านการทดลอง หรือได้รับการพัฒนาเป็นขั้นๆ(รศ.ดร.กิดานันท์ มลิทอง:245:เทคโนโลยีทางการศึกษาและนวัตกรรม)<br />-ไมลส์ แมทธิว (Miles Matthew) กล่าวว่า นวัตกรรมหมายถึง การเปลี่ยนแปลง แนวความคิด อย่างถี่ถ้วน เป็นการเปลี่ยวแปลงให้ใหม่ขึ้น เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมาย อย่างมีประสิทธิภาพสุงขึ้น<br />อ้างอิง </span><a href="http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7fb179ae33990cba&clk=wttpct"><span style="color:#ffffff;">http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7fb179ae33990cba&clk=wttpct</span></a><br /><span style="color:#ffffff;">http://jange1979.multiply.com/journal/item/4/4<br />สรุปนวัตกรรม คือการปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ ใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาการดัดแปลง จากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น ในบางครั้งเราไม่สามารถนำนวัตกรรมไปใช้ได้ทุกหนแห่งเสมอไปทั้งนี้เพราะในสถานที่แต่ละแห่งย่อมมีความแตกต่างกันในเรื่องของทรัพยากร<br /><br />4.นวัตกรรมทางการศึกษา คืออะไร<br />นัวตกรรมทางการศึกษา(Educational Innovation) หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษาและการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างราดเร็วมีประสิทธิภาพสูง กว่าเดิมเกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วย นวัตกรรมเหล่านั้น ได้ประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย เช่น การสอนใช้คอมพิวเตอร์ อ้างอิง รศ.ดร.กิดานันท์ มลิทอง:246: เทคโนโลยีทางการศึกษาและนวัตกรรม<br />นวกรรมทางการศึกษา หมายถึง ความคิด หรือการกระทำสิ่งใหม่ๆดังนั้น นวกรรมทางการศึกษาก็คือ ความคิดหรือสิ่งใหม่ๆ ทางการศึกษาข้อความที่ว่า ความคิด หรือสิ่งใหม่ๆนั้นมีความหมายกวางขวางมากเพียงใด เราน่าจะมาทำความเข้าใจกับข้อนี้เสียก่อน เปรื่อง กุมุท ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความ ที่กล่าวนี้พอสรุปได้ว่าความคิด หรือสิ่งใหม่ๆ นั้นอาจเป็นหลายสถานะ ดังนี้ </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">1.ความคิด หรือสิ่งใหม่ๆ บางอย่างและมองเห็นว่าการใช้สิ่งเหล้านั้น หรือวิธีการนั้นสามารถแก้ไขปัญหาทางการศึกษา </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">2.ความคิด หรือการกระทำสิ่งใหม่ โดยอาจเก่ามาจากที่อื่น</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">3.ความคิดหรือ การกระทำสิ่งใหม่ ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยนำมาใช้แล้ว แต่ไม่บังเกิดผล อาจเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมไม่อำนวย<br />อ้างอิง วาสนา ชาวหา: 17: เทคโนโลยีทางการศึกษา<br />รศ.ดร.กิดานันท์ มลิทอง:246: เทคโนโลยีทางการศึกษาและนวัตกรรม<br />-สรุปนวัตกรรมทางการศึกษา คือนวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนอีกด้วย<br /><br />5.เทคโนโลยี หมายถึง อะไร<br />-เทคโนโลยี(Technolgy) เป็นคำที่มาจากภาษากรีกว่า Teckne หมายถึง ศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือทักษะ (ar,science,orskil) และจากภาษาลาติน ว่า Texere หมายถึงการสาน หรือการสร้าง (to weave or to construct )พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า เทคโนโลยี ไว้ดังนี้ เทคโนโลยีหมายถึง วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์ ประยุกต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการปฏิบัติ และอุตสากรรมปกติแล้วเมือกล่าวคำว่า เทคโนโลยี คนทั้วไปมักนึงถึงสิ่งที่เกี่ยงกับเทคนิควิธีสมัยใหม่<br />-เทคโนโลยีเป็นการใช้อย่างเป็นระบบ ของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ต่างๆ ที่รวบรวมได้ มาใช้อย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่ผลในการปฏิบัติ<br />-เทคโนโลยี หมายถึง กระบวนการ แนวทาง หรือวิธีการในการคิด ในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (James D Finn)<br />-เทคโนโลยี หมายถึง การนำเอาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในสาขาวิชา ต่างๆ เพื่อปรับปรุงระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (carter V. Good, Dictionary of Education )<br />-เทคโนโลยีคือ การศึกษาว่าทำอย่างไร จึงสามารถนำเอาความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ มาปฏิบัติในสถานการณ์ ที่เป็นจริงได้ (The Holt Banc Dictionary of American English )<br />-เทคโนโลยี คือ ความรู้และการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ โดยปกติใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมแต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ กิจการใดๆ ก็ได้ (Mcgraw-Hill Encyclopedia of science and Technoiogy)<br />-เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์อย่างมีระบบของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ด้านอื่นๆ อันใดจัดระเบียบดีแล้ว ต่องานปฏิบัติทั้งหลาย (John Kenneth Galbralth) ได้เสนอไว้ 3ประการ<br />1.เป็นการให้ความรู้ที่มีเหตุผล เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายทางปฏิบัติ<br />2.เป็นระเบียบ วิธี กระบวนการ ความคิดเห็น หรือ ปรับปรุงวิธีการเดิม<br />3.เป็นการนำเอาวัสดุ หรือ จุดมุ่งหมาย มาบริการความต้องการของสังคม<br />-บราวน์ (Brown ) กล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นการนำวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ ใช้ให้บังเกิดผลประโยชน์<br />-เดล (Dale) ให้ความหมายว่า เทคโนโลยีเป็นแผนการ หรือวิธีการทำงานอย่างมีระบบ เพื่อให้บรรลุผล<br />-Webster”s New Collegiate Dictionary ของเมอร์เรี่ยม (Merriam) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เทคโนโลยี เป็น วิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิธีการเทคนิค ที่มุ่งให้เกิดผล สำเร็จตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ<br />-เทคโนโลยี หมายถึง การดัดแปลงเอาผลิตผลขบวนการวิธี หรือระบบที่ใช้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในงาน สร้างพฤติกรรมที่ดี หรือเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดี จนเป็นที่ยอมรับของสังคมให้เกิดขึ้นแก่คน<br />อ้างอิง (ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต :57 :เทคโนโลยีกับการศึกษา)<br />อ้างอิง </span><a href="http://www.bcoms.net/temp/lesson1.asp"><span style="color:#ffffff;">http://www.bcoms.net/temp/lesson1.asp</span></a><br /><span style="color:#ffffff;"></span><a href="http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/Lesson%2022.htm"><span style="color:#ffffff;">http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/Lesson%2022.htm</span></a><br /><span style="color:#ffffff;">สรุปเทคโนโลยี คือ การนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แนวความคิด กระบวนการ วิธีการ เทคนิค ตลอดจนอุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ มาใช้ เพื่อใช้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบงานที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูง<br />6.เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอที (IT ย่อจาก information technology) หมายถึง</span><a title="เทคโนโลยี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5"><span style="color:#ffffff;">เทคโนโลยี</span></a><span style="color:#ffffff;">สำหรับ</span><a title="การประมวลผลสารสนเทศ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8"><span style="color:#ffffff;">การประมวลผลสารสนเทศ</span></a><span style="color:#ffffff;"> ซึ่งครอบคลุมถึงการรับ-ส่ง การแปลง การจัดเก็บ การประมวลผล และการค้นคืน</span><a title="สารสนเทศ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8"><span style="color:#ffffff;">สารสนเทศ</span></a><span style="color:#ffffff;"> ในการประยุกต์ การบริการ และพื้นฐานทางเทคโนโลยี สามารถแบ่งกลุ่มย่อยเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ คอมพิวเตอร์, การสื่อสาร และข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ซึ่งในแต่ละกลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีกมากมาย องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ ยังต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น </span><a title="เครื่องเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><span style="color:#ffffff;">เครื่องเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์</span></a><span style="color:#ffffff;"> (คอมพิวเตอร์) เป็นองค์ประกอบสำคัญของ</span><a title="ระบบเครือข่าย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2"><span style="color:#ffffff;">ระบบเครือข่าย</span></a><span style="color:#ffffff;"> (การสื่อสาร) โดยมีการส่งข้อมูลต่างๆ ไปยัง</span><a title="เครื่องลูก (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81&action=edit&redlink=1"><span style="color:#ffffff;">เครื่องลูก</span></a><span style="color:#ffffff;"> (ข้อมูลแบบมัลติมีเดีย) ในบางครั้งจะมีการใช้ชื่อว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (information and communications technology ย่อว่า ICT) </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">- เทคโนโลยีสารสนเทศ คือเทคโนโลยีในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานจัดการกับข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่าสารสนเทศ ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นศาสตร์ที่ใหม่มาก และมีความสำคัญมากในสังคมปัจจุบัน และถือเป็นหนึ่งในสามศาสตร์หลัก (เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีนาโน เทคโนโลยีชีวภาพ) ที่ถูกกล่าวว่าจะมีผลต่อสังคมในอนาคตมากที่สุด โดยปัจจุบัน มีผู้กล่าวถึง เทคโนโลยีสารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง โดยเราจะรู้จักกันทั่วไปในชื่อสั้นๆ ว่า ไอที (IT) รัฐบาลไทยเองก็เล็งเห็นความสำคัญด้านนี้มาก จึงมีการจัดตั้งกระทรวงใหม่ที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้ขึ้น ชื่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือเรียกย่อๆ ว่า กระทรวงไอซีที </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">- เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นมีลักษณะเด่น คือ มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกวัน เช่น เราจะเห็นว่ามีการใช้อินเตอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย มีการส่งอีเมล์ มีการท่องเว็บต่างๆ มีการส่งข้อมูลผ่านเว็บ มีการเล่นเกมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ต นอกจากอินเตอร์เน็ตแล้ว ยังมีเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวกับมือถือ เช่น มีการส่งข้อมูลผ่านทางมือถือ มีการดาวโหลดข้อมูลต่างๆ รวมทั้งเพลงผ่านมือถือ มีการสืบค้นข้อมูลหรือเล่นเกมผ่านมือถือ เป็นต้น ในทางอุตสาหกรรมก็มีการนำระบบสารสนเทศเข้าไปช่วยเพิ่มผลผลิตในโรงงาน ช่วยควบคุมดูแลเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้กระบวนการผลิตเป็นแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้มีการนำสารสนเทศไปใช้ในงานด้านธุรกิจเพื่อทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ โดยสามารถดูข้อมูลต่างๆ ได้ทันทีทั้งข้อมูลที่เป็นรายละเอียดและข้อมูลสรุป และช่วยในการสนับสนุนการตัดสิน บริษัทที่ทันสมัยทุกบริษัทต้องมีระบบสารสนเทศภายในองค์กร ในยุคต่อไป คอมพิวเตอร์จะมีขนาดเล็กลง มีความเร็วสูงขึ้น และมีหน่วยความจำมากขึ้น และที่สำคัญ ราคาของคอมพิวเตอร์จะถูกลงมาก ดังนั้นคอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทในสังคมของเรามากขึ้น โดยเราจะเรียกสังคมนี้ว่าสังคมยูบิคิวตัส (Ubiquitous) คือคอมพิวเตอร์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นการจัดการข้อมูลสารสนเทศที่เกิดจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนี้การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศภายในบริษัทก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าบริษัทหรือองค์กรใหญ่จำเป็นต้องมีหน่วยงานด้านการจัดการระบบสารสนเทศ ปัจจุบันในโลกของธุรกิจ มีธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากมาย ซึ่ง นักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดก็คือ นักธุรกิจด้านไอที ซึ่งความจริงนี้แสดงให้เห็นว่า ไอทีได้เป็นศาสตร์ที่รับความสนใจและมีความสำคัญมากในสังคมปัจจุบันและต่อไปในอนาคต </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">อ้างอิง </span><a href="http://www.bcoms.net/temp/lesson1.asp"><span style="color:#ffffff;">http://www.bcoms.net/temp/lesson1.asp</span></a><br /><a href="http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/Lesson%2022.htm"><span style="color:#ffffff;">http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/Lesson%2022.htm</span></a><span style="color:#ffffff;"> </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">สรุปเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยพัฒนา ทางด้าน ไอที และ การสื่อสารข้อมูลแบบมัลติมีเดีย<br /><br />7.เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีบทบาทในการศึกษามีอะไรบ้าง และแต่ละอย่างเป็นอย่างไร<br />บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมมีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาประกอบด้วย </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">1. เทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องการเรียนรู้ปัจจุบันมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้หลายอย่าง มีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มีระบบมัลติมีเดีย (Multimedia)* ระบบวิดีโออนนดีมานด์ (Video on Demand) วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ (Video Teleconference) และอินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นต้น ระบบเหล่านี้เป็นระบบสนับสนุนการรับรู้ข่าวสารและการค้นหาข้อมูลข่าวสารเพื่อการเรียนรู้ </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">2. เทคโนโลยีที่เข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษาในการจัดการศึกษาสมัยใหม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพื่อการวางแผนการดำเนินการ การติดตามและประเมินผลคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามามีบทบาทที่สำคัญในเรื่องนี้ </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">3. เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การสื่อสารระหว่างบุคคลเกือบทุกวงการ ทั้งทางด้านการศึกษาจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เขียน ผู้เรียนกับผู้เรียน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนการสอน และการดำเนินงานในหลายด้านโดยอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสาร และการดำเนินงานในหลายด้านโดยอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น การใช้โทรศัพท์ โทรสารเทเลคอนเฟอเรนส์ และไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">อ้างอิง </span><a href="http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=8080.0"><span style="color:#ffffff;">http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=8080.0</span></a><br /><span style="color:#ffffff;"></span><a href="http://school.obec.go.th/uts_s/webpages/computer/info_edu.htm"><span style="color:#ffffff;">http://school.obec.go.th/uts_s/webpages/computer/info_edu.htm</span></a><br /><span style="color:#ffffff;">สรุปบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการศึกษา คือ เป็นเครื่องมือและตัวกลางให้ได้รับรู้เรื่องราวได้เร็ว ช่วยพัฒนาการเรียนการสอนให้มีความทันสมัยทั้งทางด้านบริหารจัดการ การเรียนการสอน การวิจัย และการบริหารสังคม<br />8.สื่อการสอน<br />-สื่อ หมายถึง ตัวกลางหรือพาหะที่ให้นำเรื่องราว หรือความรู้ ของผู้ส่งสารหรือครูไปสูงผู้รับ หรือนักเรียน<br />-สื่อการสอน (Instructionai media ) อาจหมายถึงสิ่งต่างๆที่ใช้เป็นเครื่องมือ หรือช่องทางสำหรับทำให้การสอนของครูถึงผู้เรียนและทำให้ผู้เรียน เรียนรู้ตามจุดประสงค์ หรือ จุดมุ่งหมายที่ครูวางไว้ได้เป็นอย่างดี (ประดิษฐ์ ฮวบเจริญ :145 : เทคโนโลยีทางการศึกษา)<br />-สื่อ(medium,pl.media )เป็นคำที่มาจากภาษาลาตินว่า medium แปลงว่า ระหว่าง between หมายถึงสิ่งใดก็ตามที่บรรจุข้อมูลเพื่อให้ผู้ส่ง และผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตามวัตถุจุดประสงค์ เมื่อมีการนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอน จึงเรียกว่า สื่อการสอน จึงหมายถึง สื่อชนิดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ ฯลฯ ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิด การเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ หรือ จุดมุ่งหมายที่ผู้สอนวางไว้ เป็นอย่างดี<br />-สื่อการสอน ถือว่าเป็นขบวนการถ่ายทอดความคิด เรื่องราว ข่าวสาร ตลอดจนประสบการณ์ และทัศนคติ ระหว่างบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้ส่งข่าวสาร เรื่องราวที่ส่งและผู้รับสาร โดยผู้ส่งและผู้รับ อาจมีจำนวนมากน้อย ก็ได้ (ดร.เฉลิมรัฐ ขัมพานนท์:57: เทคโนโลยีทางการศึกษา)<br />-สื่อการสอน หมายถึง เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สื่อความหมาย จัดโดยครูและ นักเรียน เพื่อเสริมการเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นสื่อการสอน อาทิ หนังสือ โสตทัศน์วัสดุ เช่น ฟิลัมสตริป สไลด์ แผนที่ ฯลฯ ของจริง และทรัพยากรจากชุมชน เป็นต้น (Louis Shores ,1960 )<br />-บราวน์ และคณะ ( Brown and others, 1983 ) ได้กล่าวว่าสื่อการสอนได้แก่อุปกรณ์ทั้งหลาย ที่สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียน จนทำให้เกิดผลการเรียนที่ดี ซึ่งรวบไปถึงกิจกรรมต่างๆได้เฉพาะ แต่สิ่งที่เป็นวัสดุ หรือ เครื่องมือเท่านั้น เช่น การไปศึกษานอกสถานที่ การสำรวจ - สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการการเรียนการสอน เพื่อเป็นตัวกลางในการนำส่งหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติ จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตั้งไว้ประโยชน์ของสื่อการสอน </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">1. ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น เพราะมีความจริงจังและมีความหมายชัดเจนต่อผู้เรียน</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">2. ช่วยให้นักเรียนรู้ได้ในปริมาณมากขึ้นในเวลาที่กำหนดไว้จำนวนหนึ่ง</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">3. ช่วยให้ผู้เรียนสนใจและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนการสอน</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">4. ช่วยให้ผู้เรียนจำ ประทับความรู้สึก และทำอะไรเป็นเร็วขึ้นและดีขึ้น</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">5. ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาในขบวนการเรียนรู้ของนักเรียน</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">6. ช่วยให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนได้ลำบากโดยการช่วยแก้ปัญหา หรือข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ดังนี้<br />· ทำสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">· ทำนามธรรมให้มีรูปธรรมขึ้น </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">· ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ดูช้าลง </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">· ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อยขนาดลง </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">· ทำสิ่งที่เล็กมากให้ขยายขนาดขึ้น </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">· นำอดีตมาศึกษาได้ </span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">· นำสิ่งที่อยู่ไกลหรือลี้ลับมาศึกษาได้<br />อ้างอิง </span><a href="http://www.yupparaj.ac.th/CAI/index0.html"><span style="color:#ffffff;">http://www.yupparaj.ac.th/CAI/index0.html</span></a><br /><span style="color:#ffffff;">http://blog.spu.ac.th/ssong/2008/05/09/entry-1<br />-สรุปสื่อการสอน คือ เป็นเครื่องช่วยในการเรียนรู้ ซึ่ง ครูและนักเรียนเป็นผู้ใช้เพื่อช่วยการสอน และการเรียนมี ประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยครูถ่ายทอดข้อเท็จจริง ทักษะ เจตคติ ความรู้ และความซาบซึ่งไปยังผู้เรียน<br /><br />9.สื่อประสม คืออะไร<br />-สื่อประสมสื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อการสอนหลายๆประเภทมาประยุกต์ใช้ร่วมกันทั้งวัสดุอุปกรณ์ และวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน ซึ่งสามารถแสดงในรูปของ ตัวอักษร เสียง รูปและภาพเครื่องไหวเข้าด้วยกันเป็นสื่อเดียวโดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหา และมีคุณค่าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันของเนื้อหา และในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ร่วมด้วยเพื่อการผลิตหรือการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ มัลติมีเดีย ยังเป็นสื่อประสมที่นับว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ของคอมพิวเตอร์ ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้มากขึ้น มีความสามารถในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น คือสามารถแสดงตัวอักษรหรือข้อความภาพ ซึ่งอาจเป็นภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวและเสียงได้พร้อมๆ กัน<br />-สื่อประสมคือการนำสื่อหลายๆ ประเภทมาใช้ร่วมกัน เช่น รูปภาพ เครื่องฉายแผ่นโปร่างใส ฯลฯ<br /><br />อ้างอิง (รศ.ดร.กิดานันท์ มลิทอง : 255: เทคโนโลยีการศึกษา)<br /></span><a href="http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=204868ad4f684fd6"><span style="color:#ffffff;">http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=204868ad4f684fd6</span></a><br /><span style="color:#ffffff;">http://www.kroobannok.com/blog/1916<br />สรุปสื่อประสม คือ การนำสื่อหลายๆ ประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละอย่าง ตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหา<br /><br />10.รูปแบบของสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนประกอบไปด้วยอะไรบ้าง<br />-สื่อหลายมิติ คือการเสนอข้อมูลเพื่อให้ผู้รับสามารถรับสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สื่อเสนอได้โดยการเชื่อมโยงข้อมูลจากรูปแบบหนึ่งไปยังอีกรูปแบบหนึ่ง ได้อย่างทันทีด้วยความรวดเร็ว ซึ่งสื่อหลายมิติได้มีการพัฒนามาจาก ข้อความหลายมิติ<br />-รูปแบบสื่อหลายมิติ หมายถึง ความสัมพันธ์กัน ระหว่างสื่อหลายมิติกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน จะนำเสนอข้อมูลสารสนเทศที่เป็นเนื้อหา หรือสื่ออื่นๆ ที่ออกแบบสำหรับผู้เรียนทุกคน โดยพยายามที่จะพัฒนารูปแบบ (Model) ให้สามารถปรับตัวและตอบสนองผู้เรียน ยังส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามศักยภาพได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลัก คือ<br />1.รูปแบบหลัก (Domain Model: DM) เป็นรูปแบบโครงสร้างหลักของข้อมูลสารสนเทศทั้งหมดทีนำเสนอให้แก่ผู้เรียน โดยรูปแบบหลักเปรียบเสมือนคลังข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา ประวัติหรือแฟ้มข้อมูลของผู้เรียน และรูปแบบการนำเสนอข้อมูล ลักษณะโครงสร้างของสื่อหลายมิติแบ่งออกเป็น 3 แบบดังนี้<br />1.1 แบบไม่มีโครงสร้างคือ เป็นแบบที่ไม่มีโครงสร้างความรู้ มีความยืดหยุ่นสูงสุดของการจัดรวบรวม<br />1.2 แบบเป็นลำดับขั้นคือ เป็นการกำหนดการจัดเก็บความรู้เป็นลำดับขั้นมีโครงสร้างเป็นลำดับแบบต้นไม้ โดยให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าไปทีละขั้น<br />1.3 แบบเครือข่ายคือ เป็นการเชื่อมโยงระหว่างจุดร่วมของฐานความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ความซับซ้อนของเครือข่าย พึ่งพาความสัมพันธ์ระหว่างจุดร่วมต่างๆ<br />2. รูปแบบของผู้เรียนคือ เป็นการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบการเรียนรู้และลักษณะของผู้เรียนแต่ละคนที่เหมาะสมของกับข้อมูลสารสนเทศและเนื้อหาที่นำเสนอเพื่อตอบสนองแบบรายบุคคล ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญของสื่อหลายมิติ<br />2.1 แบบปรับปรุง (Accommodators) ชอบลงมือปฏิบัติทดลองสิ่งใหม่ๆ ชอบสร้างสรรค์ ลองผิดลองถูก<br />2.2 แบบคิดเอกนัย (Converges) ต้องการรู้เฉพาะเรื่องที่มีประโยชน์ ชอบทำงานกับวัตถุมากกว่าบุคคล ชอบอ่าน ชอบวิจัย<br />2.3 แบบดูดซึม (Assimilators) ชอบการค้นคว้า อ่าน วิจัย และศึกษาอย่างเจาะลึก มีความอดทน และเพียรพยายามที่จะศึกษาหาข้อมูล<br />2.4 แบบอเนกนัย (Divergers) ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม ชอบเรียนรู้เพื่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนรวม<br />3. รูปแบบการปรับตัว (Adaptive Model: AM) เป็นรูปแบบของความสามารถในการปรับตัวของระบบที่สอดคล้องกับรูปแบบหลัก และรูปแบบของผู้เรียน โดยรูปแบบการปรับตัวเป็นการพัฒนาโปรแกรมหรือระบบที่สามารถนำมาปรับใช้ในสื่อหลายมิติแบบปรับตัวได้ โดยรูปแบบการปรับตัวสรุปได้ดังนี้<br />3.1 การนำเสนอแบบปรับตัว ซึ่งเป็นแนวคิดสำหรับการปรับเปลี่ยนในระดับเนื้อหา คือ ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียนเพื่อนำเสนอข้อมูลที่แต่ต่างออกไป<br />3.2 การสนับสนุนการนำทางแบบปรับตัว เป็นแนวคิดเพื่อช่วยสนับสนุนกันเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาแต่ละหน้าเพื่อให้ผู้เรียนสามรถติดตามเนื้อหาได้โดยไม่หลงทาง จากแนวคิดนี้มีวิธีการสนับสนุนหลายแบบดังนี้<br />3.2.1 การแนะโดยตรง เป็นระบบที่ง่ายที่สุด<br />3.2.2 การเรียงแบบปรับตัว เป็นแนวคิดในการจัดเรียงหน้าของเนื้อหาให้เป็นไปตามโมเดลของผู้เรียน<br />3.2.3 การซ่อน เป็นแนวคิดที่จะซ่อนหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง<br />3.2.4บรรณนิทัศน์ปรับตัว เป็นแนวคิดที่จะเสริมเนื้อหาเพิ่มเข้าไปเพื่ออธิบายภาพรวมของแต่ละหน้า<br />อ้างอิง กิดานันท์ มลิทอง. เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์ , 2540<br />ณัฐกร สงคราม . (2543). อิทธิพลของแบบการคิดและโครงสร้างของโปรแกรมการเรียนการ สอนผ่านเว็บที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพื้นฐานคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาของนิสิตระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย . วิทยานิพนธ์ ค.ม. ( โสตทัศนศึกษา) . กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถ่ายเอกสาร.<br />วัฒนา นัทธี ..2547. ปัญญาประดิษฐ์ทางการศึกษาวารสารคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีชั้นสูง. ฉบับที่ 7 เดือนตุลาคม 2547<br />อรจรีย์ ณ ตะกั่วทุ่ง . 2545. สุดยอดการพัฒนาการเรียนการสอน. เอ็กซเปอร์เน็ทบุ๊คส์. กรุงเทพฯ.<br />http://www.edtechno.com/2009/index.php?option=com_content&view=article&id=48:-adaptive-hypermedia-&catid=44:webmaster&Itemid=72<br />สรุปรูปแบบสื่อหลายมิติ สื่อหลายมิติเป็นเทคนิคที่ต้องการใช้สื่อผสมอื่นๆ ที่คอมพิวเตอร์สามารถนำเสนอได้หลายรูปแบบต่างๆ ได้ทั้ง ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว สื่อหลายมิติเป็นการขยายแนวคิดอันเป็นผลมาจากการพัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถผสมผสาน สื่อ อุปกรณ์หลายอย่างให้ทำงานเข้าด้วยกัน</span></div><div align="center"><br /><span style="color:#ffffff;">บรรณานุกรม</span></div><div align="left"><br /><span style="color:#ffffff;"><br />วารินทร์ รัศมีพรหม,ผศ.ดร. . เทคโนโลยีทางการศึกษา. พิมพ์ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. 2531.<br />กิดานันท์ มลิทอง,รศ.ดร. . สื่อการสอน . พิมพ์ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงพิมพ์อรุณการพิมพ์. 2543.<br />วาสนา ชาวหา . เทคโลยีทางการศึกษา. พิมพ์ที่อักษรสยามการพิมพ์ . 2522 .<br />กิดานันท์ มลิทอง. เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์ , 2540<br />ณัฐกร สงคราม . (2543). อิทธิพลของแบบการคิดและโครงสร้างของโปรแกรมการเรียนการ สอนผ่านเว็บที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพื้นฐานคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาของนิสิตระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย . วิทยานิพนธ์ ค.ม. ( โสตทัศนศึกษา) . กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถ่ายเอกสาร.<br />วัฒนา นัทธี ..2547. ปัญญาประดิษฐ์ทางการศึกษาวารสารคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีชั้นสูง. ฉบับที่ 7 เดือนตุลาคม 2547<br />อรจรีย์ ณ ตะกั่วทุ่ง . 2545. สุดยอดการพัฒนาการเรียนการสอน. เอ็กซเปอร์เน็ทบุ๊คส์. กรุงเทพฯ. </span><a href="http://www.geocities.com/jatuponlimtakul/jitavitaya.htm"><span style="color:#ffffff;">http://www.geocities.com/jatuponlimtakul/jitavitaya.htm</span></a><br /><a href="http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7fb179ae33990cba&clk=wttpct"><span style="color:#ffffff;">http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7fb179ae33990cba&clk=wttpct</span></a><br /><a href="http://jange1979.multiply.com/journal/item/4/4"><span style="color:#ffffff;">http://jange1979.multiply.com/journal/item/4/4</span></a><br /><span style="color:#ffffff;"></span><a href="http://www.bcoms.net/temp/lesson1.asp"><span style="color:#ffffff;">http://www.bcoms.net/temp/lesson1.asp</span></a><br /><a href="http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/Lesson%2022.htm"><span style="color:#ffffff;">http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/Lesson%2022.htm</span></a><br /><span style="color:#ffffff;"><br /></span><a href="http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=8080.0"><span style="color:#ffffff;">http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=8080.0</span></a><br /><a href="http://school.obec.go.th/uts_s/webpages/computer/info_edu.htm"><span style="color:#ffffff;">http://school.obec.go.th/uts_s/webpages/computer/info_edu.htm</span></a><br /><a href="http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=204868ad4f684fd6"><span style="color:#ffffff;">http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=204868ad4f684fd6</span></a><br /><a href="http://www.kroobannok.com/blog/1916"><span style="color:#ffffff;">http://www.kroobannok.com/blog/1916</span></a><br /><a href="http://www.yupparaj.ac.th/CAI/index0.html"><span style="color:#ffffff;">http://www.yupparaj.ac.th/CAI/index0.html</span></a><br /><a href="http://blog.spu.ac.th/ssong/2008/05/09/entry-1"><span style="color:#ffffff;">http://blog.spu.ac.th/ssong/2008/05/09/entry-1</span></a><br /><a href="http://www.edtechno.com/2009/index.php?option=com_content&view=article&id=48:-adaptive-hypermedia-&catid=44:webmaster&Itemid=72"><span style="color:#ffffff;">http://www.edtechno.com/2009/index.php?option=com_content&view=article&id=48:-adaptive-hypermedia-&catid=44:webmaster&Itemid=72</span></a><br /><a href="http://www.edtechno.com/2009/index.php?option=com_content&view=article&id=48:-adaptive-hypermedia-&catid=44:webmaster&Itemid=72"><span style="color:#ffffff;">http://www.edtechno.com/2009/index.php?option=com_content&view=article&id=48:-adaptive-hypermedia-&catid=44:webmaster&Itemid=72</span></a></div><span style="color:#ffffff;"></span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-18773650024666732502009-09-11T23:42:00.000-07:002009-09-11T23:52:18.232-07:00การเขียนโครงการ<div align="center"><span style="color:#ffffff;"><br />ขั้นตอนในการเขียนโครงการ</span></div><br /><span style="color:#ffffff;">1. ชื่อแผนงาน </span><br /><span style="color:#ffffff;">2. ชื่อโครงการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">3. หลักการและเหตุผล </span><br /><span style="color:#ffffff;">4. วัตถุประสงค์ </span><br /><span style="color:#ffffff;">5. เป้าหมาย </span><br /><span style="color:#ffffff;">6. วิธีดำเนินการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">7. ระยะเวลาดำเนินการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">8. งบประมาณ </span><br /><span style="color:#ffffff;">9. ผู้รับผิดชอบโครงการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">10. หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน </span><br /><span style="color:#ffffff;">11. การประเมินผล </span><br /><span style="color:#ffffff;">12. ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ<br />การวางแผนและการเขียนโครงการ<br />ความหมายของการวางแผน </span><br /><span style="color:#ffffff;">มีผู้ให้คำจำกัดความของการวางแผนไว้หลายลักษณะ เช่น การวางแผน คือ การมองอนาคต การเล็งเห็นจุดดหมายที่ต้องการ การคาดปัญหาเหล่านั้นไว้ล่วงหน้าไว้อย่างถูกต้อง ตลอดจนการหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น<br /> การวางแผน เป็นการใช้ความคิดมองจินตนาการตระเตรียมวิธีการต่างๆ เพื่อคัดเลือกทางที่ดีที่สุดทางหนึ่ง กำหนดเป้าหมายและวางหมายกำหนดการกระทำนั้น เพื่อให้สำเร็จลุล่วงไปตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้<br /> การวางแผน เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับการกำหนดสิ่งที่จะกระทำในอนาคต การประเมินผลของสิ่งที่กำหนดว่าจะกระทำและกำหนดวิธีการที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติ ถ้าจะกล่าวโดยสรุป การวางแผนก็คือการคิดการหรือกะการไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำไม ทำที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และไครทำ<br /> การวางแผนจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ </span><br /><span style="color:#ffffff;"> - อนาคต - การตัดสินใจ - การปฏิบัติ<br /> ความสำคัญของการวางแผน </span><br /><span style="color:#ffffff;">ถ้าจะเปรียบเทียบระบบการศึกษากับคน การวางแผนก็เปรียบเสมือนสมองของคน ซึ่งถ้ามองในลักษณะนี้แล้ว การวางแผนก็มีความสำคัญไม่น้อยทีเดียว เพราะถ้าสมองไม่ทำงานส่วนอื่นๆของร่างกาย เช่น แขน ขา ก็จะทำอะไรไม่ได้ หรือถ้าคนทำงานไม่ใช้สมอง คือทำงานแบบไม่มีหัวคิดก็ลองนึกภาพดูก็แล้วกันว่าจะเป็นอย่างไร คนทุกคนต้องใช้สมองจึงจะทำงานได้ ระบบการศึกษาหรือการจัดการศึกษาก็่เช่นเดียวกัน ต้องมีการวางแผน คือ อย่างน้อยต้องมีความคิด การเตรียมการว่าจะจัดการศึกษาเพื่ออะไร เพื่อใคร อย่างไร<br />การวางแผนมีประโยชน์ในหลายเรื่องด้วยกัน เช่น<br />1. การวางแผนเป็นเครื่องช่วยให้มีการตัดสินใจอย่างมีหลักเกณฑ์ เพราะได้มีการศึกษาสภาพเดิมใน ปัจจุบันแล้ว กำหนดสภาพใหม่ในอนาคต ซึ่งได้แก่การตั้งวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมาย แล้วหาลู่ทาง ที่จะทำให้สำเร็จตามที่มุ่งหวัง นักวางแผนมีหน้าที่จัดทำรายละเอียดของงานจัดลำดับความสำคัญ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะที่ควรจะเป็นต่างๆ เพื่อให้ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจพิจารณา<br />2. การวางแผนเป็นศูนย์กลางประสานงานเช่น ในการจัดการศึกษาเราสามารถใช้การวางแผนเพื่อ ประสานงานการศึกษาทุกระดับและทุกสาขาให้สอดคล้องกันได้</span><br /><span style="color:#ffffff;">3. การวางแผนทำให้การปฏิบัติงานต่างๆเป็นไปโดยประหยัดมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพราะการวางแผนเป็นการคิดและคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าและเสนอทางเลือกที่จะก่อให้เกิดผลที่ดีที่สุด</span><br /><span style="color:#ffffff;">4. การวางแผนเป็นเครื่องมือในการควบคุมงานของนักบริหารเพื่อติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานของฝ่าย ต่างๆให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่ต้องการ<br />ประเภทของแผน<br /> เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้น่าจะพูดถึงประเภทของแผนเสียเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจลักษณะของแผนแต่ละอย่าง ถ้าจะมองในแง่ของระยะเวลาอาจจะแบ่งแผนออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆดังนี้คือ<br />1. แผนพัฒนาระยะยาว (10 - 20 ปี) กำหนดเค้าโครงกว้างๆ ว่าประเทศชาติของเราจะมีทิศทางพัฒนาไป อย่างไร ถ้าจะดึงเอารัฐธรรมนูญ และ/หรือแผนการศึกษาแห่งชาติมาเป็นแผนประเภทนี้ก็พอถูไถไปได้ แต่ความจริงแผนพัฒนาระยะยาวของเราไม่มี<br />2. แผนพัฒนาระยะกลาง (4 - 6 ปี) แบ่งช่วงของการพัฒนาออกเป็น 4 ปี หรือ 5 ปี หรือ 6 ปี โดยคาดคะเน ว่าในช่วง 4 - 6 ปี นี้ จะทำอะไรกันบ้าง จะมีโครงการพัฒนาอะไร จะงบประมาณใช้ทรัพยากรมากน้อย เพียงไร แผนดังกล่าวได้แก่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินั่นเองในส่วนของการศึกษาก็มีแผน พัฒนาการศึกษาแห่งชาติ(ไม่ใช่แผนการศึกษาแห่งชาติ)ในเรื่องของการเกษตรก็มีแผนพัฒนาเกษตร เป็นต้น<br />3. แผนพัฒนาประจำปี (1 ปี) ความจริงในการจัดทำแผนพัฒนาระยะกลาง เช่น แผนพัฒนาการศึกษา ได้มีการหนดรายละเอียดไว้เป็นรายปีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากการจัดทำแผนพัฒนาระยะกลางได้จัดทำไว้ ล่วงหน้า ข้อมูลหรือความต้องการที่เขียนไว้อาจไม่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงในปัจจุบัน จึงต้องจัด ทำแผนพัฒนาประจำปีขึ้น นอกจากนั้น วิธีการงบประมาณของเราไม่ใช้แผนพัฒนาระยะกลางขอตั้งงบ ประมาณประจำปี เพราะมีรายละเอียดน้อยไป แต่จะต้องใช้แผนพัฒนาประจำปี เป็นแผนขอเงิน4. แผนปฏิบัติการประจำปี (1 ปี) ในการขอตั้งงบประมาณตามแผนพัฒนาประจำปีในข้อ 3 ปกติมักไม่ได้ ตามที่กระทรวง ทบวง กรมต่างๆขอไป สำนักงบประมาณหรือคณะกรรมาธิการของรัฐสภามักจะตัดยอด เงินงบประมาณที่ส่วนราชการต่างๆขอไปตามความเหมาะสมและจำเป็นและสภาวการณ์การเงินงบ ประมาณของประเทศที่จะพึงมีภายหลังทีส่วนราชการต่างๆ ได้รับงบประมาณจริงๆแล้ว จำเป็นที่จะต้อง ปรับแผนพัฒนาประจำปีที่จัดทำขึ้นเพื่อขอเงินให้สอดคล้องกับเงินที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งเรียกว่าแผนปฏิบัติ การประจำปีขึ้น<br />ความหมายของโครงการ<br /> พจนานกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำโครงการว่า หมายถึง"แผนหรือเค้าโครงการตามที่กะกำหนดไว้"โครงการเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งในการวางแผนพัฒนาซึ่งช่วยให้เห็นภาพ และทิศทางการพัฒนา ขอบเขตของการที่สามารถติดตามและประเมินผลได้ โครงการเกิดจากลักษณะความพยายามที่จะจัดกิจกรรม หรือดำเนินการให้บรรจุวัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาหรือลดหรือขจัดปัญหา และความต้องการทั้งในสภาวการณ์ปัจจุบันและอนาคต โครงการโดยทั้วไป สามารถแยกได้หลายประเภท เช่น โครงการเพื่อสนองความต้องการ โครงการพัฒนาทั่วๆไป โครงการตามนโยบายเร่งด่วน เป็นต้น<br />องค์ประกอบของโครงการ<br />องค์ประกอบพื้นฐานในโครงการแต่ละโครงการนั้นควรจะมีดังนี้1.ชื่อแผนงาน เป็นการกำหนดชื่อให้ครอบคลุมโครงการเดียวหรือหลายโครงการที่มีลักษณะงานไปในทิศ ทางเดียวกันเพื่อแก้ไขปัญหาหรือสนองวัตถุประสงค์หลักที่กำหนดไว้<br />2.ชื่อโครงการ ให้ระบุชื่อโครงการตามความเหมาะสม มีความหมายชัดเจนและเรียกเหมือนเดิมทุกครั้ง จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ<br />3.หลักการและเหตุผล ใช้ชี้แจงรายละเอียดของปัญหาและความจำเป็นที่เกิดขึ้นที่จะต้องแก้ไข ตลอดจน ชี้แจงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินงานตามโครงการและหากเป็นโครงการที่จะดำเนินการ ตามนโยบาย หรือสอดคล้องกับแผนจังหวัดหรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือแผน อื่น ๆ ก็ควรชี้แจงด้วย ทั้งนี้ผู้เขียนโครงการ<br /> บางท่านอาจจะเพิ่มเติมข้อความว่าถ้าไม่ทำโครงการดังกล่าวผลเสียหายโดยตรง หรือผลเสียหายในระยะยาวจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้อนุมัติโครงการได้เห็นประโยชน์ของโครงการกว้างขวางขึ้น</span><br /><span style="color:#ffffff;">4.วัตถุประสงค์ เป็นการบอกให้ทราบว่า การดำเนินงานตามโครงการนั้นมีความต้องการให้อะไรเกิดขึ้น วัตถุประสงค์ที่ควรจะระบุไว้ควรเป็นวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ปฏิบัติได้และวัดและประเมินผลได้ ในระยะ หลัง ๆ นี้นักเขียนโครงการที่มีผู้นิยมชมชอบมักจะเขียนวัตถุประสงค์เป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม คือเขียนให้เป็นรูปธรรมมากกว่าเขียนเป็นนามธรรม การทำโครงการหนึ่ง ๆ อาจจะมีวัตถุประสงค์ มากกว่า 1 ข้อได้ แต่ทั้งนี้การเขียนวัตถุประสงค์ไว้มาก ๆ อาจจะทำให้ผู้ปฏิบัติมองไม่ชัดเจน และอาจ จะดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ไม่ได้ ดังนั้นจึงนิยมเขียนวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน-ปฏิบัติได้-วัดได้ เพียง 1-3 ข้อ<br />5.เป้าหมาย ให้ระบุว่าจะดำเนินการสิ่งใด โดยพยายามแสดงให้ปรากฏเป็นรูปตัวเลขหรือจำนวนที่จะทำได้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด การระบุเป้าหมาย ระบุเป็นประเภทลักษณะและปริมาณ ให้สอดคล้องกับวัตถุ ประสงค์และความสามารถในการทำงานของผู้รับผิดชอบโครงการ</span><br /><span style="color:#ffffff;">6.วิธีดำเนินการหรือกิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงาน คืองานหรือภารกิจซึ่งจะต้องปฏิบัติในการ ดำเนินโครงการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ในระยะการเตรียมโครงการจะรวบรวมกิจกรรมทุกอย่างไว้แล้ว นำมาจัดลำดับว่าควรจะทำสิ่งใดก่อน-หลัง หรือพร้อม ๆ กัน แล้วเขียนไว้ตามลำดับ จนถึงขั้นตอนสุด ท้ายที่ทำให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์<br />7.ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ คือการระบุระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนเสร็จสิ้นโครงการ ปัจจุบันนิยมระบุ วัน-เดือน-ปี ที่เริ่มต้นและเสร็จสิ้น การระบุจำนวน ความยาวของโครงการเช่น 6 เดือน 2 ปี โดยไม่ระบุเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุด เป็นการกำหนดระยะเวลาที่ไม่สมบูรณ์</span><br /><span style="color:#ffffff;">8.งบประมาณ เป็นประมาณการค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นของโครงการ ซึ่งควรจำแนกรายการค่าใช้จ่ายได้อย่าง ชัดเจน งบประมาณอาจแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- เงินงบประมาณแผ่นดิน </span><br /><span style="color:#ffffff;">- เงินกู้และเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- เงินนอกงบประมาณอื่น ๆ เช่น เงินเอกชนหรือองค์การเอกชน เป็นต้น การระบุยอดงบประมาณ ควรระบุแหล่งที่มาของงบประมาณด้วย นอกจากนี้หัวข้อนี้สามารถระบุทรัพยากรอื่นที่ต้องการ เช่น คน วัสดุ ฯลฯ<br />9. เจ้าของโครงการหรือผู้รับผิดชอบโครงการ เป็นการระบุเพื่อให้ทราบว่าหน่วยงานใดเป็นเจ้าของ หรือรับผิดชอบโครงการ โครงการย่อย ๆ บางโครงการระบุเป็นชื่อบุคคลผู้รับผิดชอบเป็นรายโครงการได้</span><br /><span style="color:#ffffff;">10.หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เป็นการให้แนวทางแก่ผู้อนุมัติและผู้ปฏิบัติว่าในการดำเนินการโครงการ นั้น ควรจะประสานงานและขอความร่วมมือกับหน่วยงานใดบ้าง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</span><br /><span style="color:#ffffff;">11.การประเมินผล บอกแนวทางว่าการติดตามประเมินผลควรทำอย่างไรในระยะเวลาใดและใช้วิธีการ อย่างไรจึงจะเหมาะสม ซึ่งผลของการประเมินสามารถนำมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ เตรียม โครงการที่คล้ายคลึงหรือเกี่ยวข้องในเวลาต่อไป<br />12.ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เมื่อโครงการนั้นเสร็จสิ้นแล้ว จะเกิดผลอย่างไรบ้างใครเป็นผู้ได้รับ เรื่องนี้สามารถเขียนทั้งผลประโยชน์โดยตรงและผลประโยชน์ในด้านผลกระทบของโครงการด้วยได้ลักษณะโครงการที่ดี<br /> โครงการที่ดีมีลักษณะดังนี้</span><br /><span style="color:#ffffff;">1. เป็นโครงการที่สามารถแก้ปัญหาของท้องถิ่นได้</span><br /><span style="color:#ffffff;">2. มีรายละเอียด เนื้อหาสาระครบถ้วน ชัดเจน และจำเพาะเจาะจง โดยสามารถตอบคำถามต่อไปนี้ได้คือ - โครงการอะไร = ชื่อโครงการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ทำไมจึงต้องริเริ่มโครงการ = หลักการและเหตุผล </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ทำเพื่ออะไร = วัตถุประสงค์ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ปริมาณที่จะทำเท่าไร = เป้าหมาย </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ทำอย่างไร = วิธีดำเนินการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- จะทำเมื่อไร นานเท่าใด = ระยะเวลาดำเนินการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ใช้ทรัพยากรเท่าไรและได้มาจากไหน = งบประมาณ แหล่งที่มา </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ใครทำ = ผู้รับผิดชอบโครงการ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ต้องประสานงานกับใคร = หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน </span><br /><span style="color:#ffffff;">- บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ = การประเมินผล </span><br /><span style="color:#ffffff;">- เมื่อเสร็จสิ้นโครงการแล้วจะได้อะไร = ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ<br />3. รายละเอียดของโครงการดังกล่าว ต้องมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน เช่น วัตถุประสงค์ต้องสอดคล้อง กับหลักการและเหตุผล วิธีดำเนินการต้องเป็นทางที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ฯลฯ เป็นต้น</span><br /><span style="color:#ffffff;">4. โครงการที่ริเริ่มขึ้นมาต้องมีผลอย่างน้อยที่สุดอย่างใดอย่างหนึ่งในหัวข้อต่อไปนี้ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- สนองตอบ สนับสนุนต่อนโยบายระดับจังหวัดหรือนโยบายส่วนรวมของประเทศ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งเฉพาะส่วนและการพัฒนาโดยส่วนรวมของประเทศ </span><br /><span style="color:#ffffff;">- แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ตรงจุดตรงประเด็น</span><br /><span style="color:#ffffff;">5. รายละเอียดในโครงการมีพอที่จะเป็นแนวทางให้ผู้อื่นอ่านแล้วเข้าใจ และสามารถดำเนินการตาม โครงการได้</span><br /><span style="color:#ffffff;">6. เป็นโครงการที่ปฏิบัติได้และสามารถติดตามและประเมินผลได้ </span><br /><span style="color:#ffffff;"></span><br /><span style="color:#ffffff;">อ้างอิง</span><br /><a href="http://www.kiriwong.net/nakhonsawan/km5.htm"><span style="color:#ffffff;">http://www.kiriwong.net/nakhonsawan/km5.htm</span></a><br /><span style="color:#ffffff;"></span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-62347306914552139402009-09-11T04:15:00.000-07:002009-09-11T04:19:46.831-07:00ค่าวิตามินซิแนรมิตความสวย..........แบบไม่เสี่ยง<div align="left"> ค่าวิตามินซีแนรมิตความสาวสวย...แบบไม่เสี่ยง<br /><br /> ปัจจุบันนี้ วงการความงามมักจะหาอะไรมาช่วยเสริมกับความต้องการของผู้ที่รักความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบอาหาร หรือวิตามินต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้รูปแบบของวิตามินมีการพัฒนาไปมาก เพราะวิตามินซีช่วยเสริมสร้างปราการด่านแรกให้กับผิวสวย<br />โดยในวิตามินมีสารธรรมชาติในรูปของกรดแอสคอบิค (Ascorbic acid) ที่พบได้ในผักใบเขียว และผลไม้ อาทิ ส้ม ฝรั่ง องุ่น สตรอเบอร์รี่ มะละกอ แคนตาลูป กะหล่ำปลี บล็อคโคลี่ พริกหยวก ฯลฯ และเป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ แถมยังมีประโยชน์กับร่างกายมากมาย อาทิช่วยปกป้องเซลล์ ป้องกันโรคมะเร็ง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยเฉพาะใครที่เป็นหวัดเมื่อรับวิตามินชนิดนี้แล้ว ก็ช่วยทุเลาอาการและป้องกันหวัดได้<br /> อีกหนึ่งคุณสมบัติของวิตามินซีอันโดดเด่นที่ครองใจสาวๆ ทุกยุคสมัย คือวิตามินซีมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ (antioxidant) ที่ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ทำให้เม็ดสีเมลานินจางลง ส่งผลให้ผิวพรรณสดใส ไร้ริ้วรอย ทั้งยังช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยฟื้นฟูผิวให้เนียนนุ่ม เปล่งปลั่งสดใส และบรรเทาอาการอักเสบของผิวเมื่อถูกแสงแดด </div><div align="left"> สำหรับปริมาณวิตามินซีที่แนะนำให้รับประทานเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพต้องรับประทานอย่างน้อย 10-200 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนคนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในการป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคชรา ควรรับประทาน 250 - 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน</div><div align="left"> แม้วิตามินซีจะมีในรูปของยารับประทาน แต่เพื่อให้เห็นผลต่อผิวหนังโดยตรง วงการเครื่องสำอางปัจจุบันประกอบกับวิทยาการสมัยใหม่ จึงนำวิตามินซีมาเป็นส่วนผสมหลัก ให้ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนและต่อต้านริ้วรอย เพื่อให้ผิวหนังได้ซึมซับวิตามินซีได้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มความงามของผิวพรรณของสาวในยุคทันสมัยแหล่งที่มา : <a title="blocked::http://www.thaihealth.or.th/" href="http://www.thaihealth.or.th/">www.thaihealth.or.th</a><br /><br /> </div>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-36644287188493067042009-09-06T08:08:00.000-07:002009-09-06T08:12:55.910-07:00ทำอย่างไรจึงจะเกงคณิตศาสตร์<div align="center"><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะประสบความสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์</span></div><span style="font-family:Courier New;color:#ffcccc;"></span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">เหตุผลหนึ่งที่มำให้นักเรียนประสบปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์ก็คือ นักเรียนไม่ทราบว่า "จะเรียนคณิตศาสตร์อย่างไร"กุญแจที่นำไปสู่ความสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์ก็คือ " นักเรียนต้องฝึกฝนทำคณิตศาสตร์เป็นประจำ " ฟังดูแล้วไม่น่าแปลกอรเลยเพราะว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาทักษะ การเรียนคณิตศาสตร์เหมือนเรียนเปียโน หากขาดการฝึกซ้อมก็คงเป็นนักเปียโนที่เก่งไม่ได้การทำโจทย์เลขทุกวันจะช่วยให้นักเรียนเก่งเลข<br />นอกจากนี้ ยังมีข้อคิดอื่นๆ ที่จะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์ กล่าวคือ</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">1.การเข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอ</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">2.เมื่อไม่เข้าใจอะไรก็ถามครูผู้สอนทันที</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">3.ศึกษาอ่านตำราเองเพิ่มเติม</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">4.ก่นที่จะลงมือทำการบ้าน ควรทบทวนความรู้ที่ครูสอนมาแล้วทุกครั้ง</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">5.ทำการบ้านหลังจากศึกษาอ่านตำราเพิ่มเติม</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">6.ทำงานด้วยความประณีต</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">7.หลังจากทำการบ้านเสร็จแล้ว ควรทบทวนตำราอีกครั้ง</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">8.ลองทำแบบทดสอบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียนไปแล้ว</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">9.เก็บรวบรวมข้อสอบที่ครูได้ทำการทดสอบย่อยๆไว้แล้วนำมาทบทวนอีกภายหลัง</span><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">10.ไม่ต้องวิตกกังวลหากยังไม่เข้าใจเนื้อหาใหม่ๆ ให้อ่านตำราและศึกษาเพิ่มเติมให้มาขึ้น</span><br /><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffcccc;">นั่นก็เป็นข้อคิดของ Margaret L.Lial และ E.John Homsby, Jr. ที่แนะนำนักเรียนในการเรียนคณิตศาสตร์ในตำราBeginning Algebra ซึ่งผู้เรียบเรียงหวังว่าข้อคิดดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนคณิตศาสตร์ของเด็กไทยเช่นกัน จำไว้อย่างหนึ่งว่า การเรียนคณิตศาสตร์<br />นั้นนอกจากนักเรียนจะต้องเรียนเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจแล้ว ก็จะต้องให้เกิดทักษะด้วยจึงจะเกิดประโยชน์ เพราะสามารถนำความรู้นั้นไปใช้ได้ทุกเมื่อ การฝึกทักษะคณิตศาสตร์เป็นประจำจะช่วยให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์เช่นกัน และก็จะเป็นกุญแจสำคัญนำนักเรียนไปสู่ความสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์ขอให้นักเรียนหมั่นฝึกฝนทำโจทย์เลขเป็นประจำ จะได้ประสบความสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์กันทุกคน<br /><br /><br />ที่มา : http://www.aksorn.com/article/article_detail.php?content_id=51 </span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-41528031761804626252009-08-31T07:56:00.000-07:002009-08-31T08:03:55.534-07:00<div align="center"><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;">โจทย์คณิตชวนคิด</span></div><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;">1.โยนเหรียญบาทหนึ่งเหรียญ99ครั้ง พบว่าออกหัว55ครั้ง ออกก้อย44ครั้งถ้าโยนเหรียญบาทเพิ่มอีก1ครั้งโอกาสที่เหรียญ จะออกก้อยเป็นกี่เปอร์เซ็นต์<br /><br />วิธีทำ เป็นปัญหาเชาว์นะครับ เนื่องจากเหรียญที่โยน 1 ครั้งมีโอกาสออกไม่ออกหัว<br /> ก็ออกก้อย ดังนั้นเป็น 50%:50% ไม่ว่าจะเพิ่มอีกกี่ครั้งก็จะออกหัว<br /> 50 % ออกก้อยอีก 50 %<br /><br />ตอบ 50%<br />ขอบคุณสำหรับข้อสอบดีๆจาก<br /></span><a href="http://www.penguin-utd.com/archives/192"><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;">http://www.penguin-utd.com/archives/192</span></a><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"><br /><br />2.ถ้าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเท่ากับ 10% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยฝากออมทรัพย์เท่ากับ 7.5% ต่อปี ณัฐดนัยฝากประจำเป็นเงิน 120,000 บาท อยากทราบว่า ณัฐดนัยจะต้องฝากออมทรัพย์เป็นจำนวนเท่าไหร่จึงจะได้ผลตอบแทน 9% ของเงินฝากทั้งหมด<br /> ก.10,800 <br /> ข.12,000 <br /> ค.48,000 <br /> ง.80,000 <br /> จ.100,000</span><br /><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"> ตอบ 80,000<br /><br />3.พจน์ที่ 12 ของอนุกรม 1,2,3,5,7,11,13,17,… มีค่าเท่าใด </span><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"> ก.31 <br /> ข.29 <br /> ค.27 <br /> ง.21 <br /> จ.มีคำตอบใดถูกต้อง<br />วิธีทำ</span><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;">ข้อนี้เป็นอนุกรมเลขคณิตเปล่าหว่า เอ๊ะ ไม่ใช่ พจน์ขวา-พจน์ซ้ายมันไม่เท่ากันอนุกรมเรขาคณิตก็ไม่ใช่นิ พจน์ขวา/พจน์ซ้ายก็ไม่เท่ากัน ที่เรียนมาก็หมดแล้วนิ จาทำไง ก็ใช้การสังเกตครับ จากอนุกรมที่ให้มาจะเห็นว่าเลขทั้งหมดจะเป็นจำนวนเฉพาะคือตัวมันเองและ 1 ที่หารลงตัว ดังนั้นพจน์ที่ 12 ก็ไล่เลย 1,2,3,5,7,11,13,17,19,23,29,31,…ได้ละ 31 </span><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;">ตอบ 31<br /><br />4.ข้อห้า คนงาน 3 คน รวมกันทำงานใช้เวลา 18 ชั่วโมงจึงจะแล้วเสร็จ ถ้า 4 คนช่วยกันทำ จะใช้เวลากี่ชั่วโมงจึงจะเสร็จ <br />ก.27 ข.24 ค.15.5 ง.13.5 จ. 12<br /><br /><br />วิธีทำ<br />1.สงสัยเทียบบรรญัติไตรญางค์ธรรมดาคน 3คนใช้เวลา 18ชั่วโมงคน 4 คนใช้เวลา24ชั่วโมง จาบ้ารึ 4 คนทำได้ 24 ชั่วโมง บ้าที่สุด แล้วจะเพิ่มคนทำไมถ้าได้เวลา มากกว่าเดิมข้อนี้คือการเทียบสัดส่วนผกผันวิธีการทำคือ</span><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"> 1.เอาสิ่งของสิ่งเดียวกัน เข้าอัตราส่วนกัน <br /> 2.โจทย์ถามหาสิ่งใดให้เป็น x<br /> 3.ถ้าสิ่งใดเป็นสัดส่วนตรงไม่ต้องกลับอัตราส่วน แต่ถ้าสิ่งใดเป็นสัดส่วน ผกผัน ก็จะกลับอัตราส่วน <br /> 4.ใช้หลักของสัดส่วน <br />เอา คนไว้กับคน ชม.ไว้กับชม. โจทย์ถามหาชม.ให้เอาชม.ไว้กับชม.ทางซ้ายมือ และตัวแปรไว้ทางขวามือ แล้วเรารู้ว่าถ้าชม.ลด คนต้องเพิ่ม ชม.เพิ่ม คนลดจึงเป็นสัดส่วนกลับจึงต้องกลับคน<br />ชม. : ชม. คน : คน 18 : x 3 : 4<br /> ต้องกลับคนเพราะสัดส่วนกลับเป็น<br />18 : x 4 : 3<br />เป็นสมการได้ ได้ x =13.5 <br />ตอบ 13.5 ครับ<br />ที่มา </span><a href="http://www.penguin-utd.com/archives/category"><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;">http://www.penguin-utd.com/archives/category</span></a><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"><br /><br /><br />5.เด็กคนหนึ่งเกิดในเดือนกันยายน เขาบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าวันเกิดของเขาเป็นพหุนามของเลข 3 หรือสอดคล้องกับสมการ x3 – 10x2 +27x -18 = 0 จงหาความน่าจะเป็นที่เพื่อนทายวันเกิดของเขาได้ถูกต้อง<br />ก. 1/11<br />ข. 2/3<br />ค. 11/15<br />ง. 11/30<br /><br />วิธีทำการที่เด็กบอกลักษณะวันเกิดของเขาให้กับเพื่อนก็เเสดงว่าวันเกิดของเขาที่เพื่อนควรจะทายนั้นต้องเป็นวันใดวันหนึ่งในวันเหล่านั้น นั่นคือเป็นการบอกจำวนวนสมาชิกของเเชมเปิลสเปซนั่นเองพิจารณาวันที่เป็นพหุคูณของ 3 วันเหล่านี้ก็คือวันที่มี 3 เป็นตัวคูณร่วม ซึ่งได้เเก่ 3 6 9 12 15 18 21 24 27 30<br />พิจารณาตัวเลขที่สอดคล้องกับสมการ x3 -10x2 +27x – 18 = 0<br /> ( x-1 ) ( x-3 ) ( x-6 ) =0<br /> X = 1 ,3 ,6<br />เนื่องจาก 3 , 6 เป็นพหุคูณของ 3 ซึ่งซ้ำกับกรณีเเรก ดังนั้นวันที่ควรจะเป็นวันเกิดของเด็ก คือ 1 3 6 9 12 15 18 21 24 27 30<br />ซึ่งมีทั้งหมด 11 วัน<br />ดังนั้นความน่าจะเป็นที่เพื่อนจะทายวันเกิดได้ถูกต้อง = 1/11<br />ตอบ 1/11<br /><br />ที่มา หนังสือคณิตศาสตร์ ม. 4- 5-6<br /></span><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"></span><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"></span><br /><span style="font-family:times new roman;color:#ffffff;"></span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-57550046912029960682009-08-25T20:54:00.000-07:002009-08-25T20:55:58.864-07:00โจทย์คณิตศาสตร์วันที่26 ส.ค 2552<div align="center"><span style="font-family:courier new;color:#ffffff;">โจทย์คณิตศาสตร์ชวนคิด</span></div><br /><span style="font-family:courier new;color:#ffffff;">1.สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกอยู่ 2 คน มีทรัพย์สินอยู่ 10 อย่าง โดยที่ ถ้าจัดกลุ่มตามมูลค่าที่ใกล้เคียงกันจะแบ่งได้ 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งมี 4 อย่าง กลุ่มที่สองมี 6 อย่างและได้เขียนพินัยกรรมโดยระบุว่าลูกคนโตได้ทรัพย์สินจากกลุ่มที่หนึ่ง 2 อย่าง และจากกลุ่มที่สอง 3 อย่าง ผู้จัดการมรดกจะแบ่งทรัพย์สินให้ลูกคนโตได้กี่วิธี<br />1. 120<br />2. 240<br />3. 252<br />4. 1440<br /><br />เฉลย ข้อ 1.<br />วิธีทำ ผู้จัดการมรดกจะแบ่งทรัพย์สินให้แก่ลูกคนโตตามลำดับขั้นตอนดังนี้<br /> ขั้นตอนที่ 1 เลือกทรัพย์สินจากกลุ่มที่หนึ่ง 2 อย่างได้ 4C2 วิธี<br /> ขั้นตอนที่ 2 เลือกทรัพย์สินจากกลุ่มที่สอง 3 อย่าง ได้ 6C3 วิธี<br />เพราะฉะนั้นผู้จัดการมรดกแบ่งให้ลูกคนโตได้ 4C2 + 6C3 = 120 วิธี<br /> -----------------------------------------------------------------------------------------<br />2.บริษัทแห่งหนึ่งมีงานว่างอยู่ 2 ตำแหน่ง ที่แตกต่างกัน ถ้ามีผู้สมัครเข้าทำงาน 4 คน คือ ก ข ค ง เมื่อทำการสัมภาษณ์แล้ว ปรากฏว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ 1 คือ ก ข ค คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ 2 คือ ข ค ง ข้อใดต่อไปนี้เป็นจำนวนวิธีที่แตกต่างกัน ที่บริษัทจะบรรจุคนเข้าทำงาน โดยให้คนเหมาะสมกับงาน<br />1. 9<br />2. 7<br />3. 6<br />4. 3<br />เฉลย ข้อ 2.<br /> กรณีที่ 1 ตำแหน่งที่ 1 บรรจุ ก เข้าทำงานได้ 1C1 . 3C1 = 3วิธี<br /> กรณีที่ 2 ตำแหน่งที่ 1 บรรจุ ข หรือ ค เข้าทำงานได้ 2C1 . 2C1 = 4 วิธี<br />วิธีที่บรรจุคนเข้าทำงานได้ทั้งหมด 3+4 = 7 วิธี<br /> ---------------------------------------------------------------------------------<br />3.จำนวนวิธีจัดผู้ชาย 3 คน และผู้หญิง 4 คนให้นั่งในแถว โดยที่ผู้ชายจะนั่งในตำแหน่งเลขคู่เสมอมีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้<br />1. 12<br />2. 144<br />3. 288<br />4. 5040<br /><br /> เฉลย ข้อ 2.<br />วิธีทำ ขั้นตอนที่ 1 จัดผู้หญิง 4 คนอยู่ในตำแหน่ง 1 3 5 7 ทำได้ 4! วิธี<br /> ขั้นตอนที่ 2 จัดผู้ชาย 3 คนให้อยู่ในตำแหน่ง 2 4 6 ได้ 3! วิธี<br /> จำนวนวิธีจัก เท่ากับ 4!3! = 144 วิธี<br /> -----------------------------------------------------------------------------------------<br />4.ในการแข่งขันฟุตบอลของทีมโรงเรียนต่างๆ จำนวน 50 ทีม ถ้าจัดการแข่งขันแบบพบกันหมดจำนวนครั้งของการจัดการแข่งขันทั้งหมดจะเท่ากับข้อใดต่อไปนี้<br />1. 1176<br />2. 1225<br />3. 2450<br />4. 2540<br />เฉลย ข้อ 2<br />วิธีทำ 50C2 = 1225 วิธี<br /> -----------------------------------------------------------------------------------------<br />5.เด็กชายดำมีหนังสือการ์ตูน 7 เล่ม เด็กหญิงแดงมีหนังสือการ์ตูน 9 เล่ม เด็กทั้ง 2 ต้องการแลกหนังสือคนละ2 เล่มจะมีวิธีแลกทั้งสิ้นกี่วิธี<br />เฉลย 756 วิธี<br />วิธีทำ ขั้นตอนที่ 1 เด็กชายดำเลือกหนังสือ 2 เล่มจาก 7 เล่ม ทำได้ 7C2 = 21<br /> ขั้นตอนที่ 2 เด็กหญิงแดงเลือก 2 เล่มจาก 9 เล่ม ทำได้ 9C2 = 36<br /> เด็กทั้ง 2 มีวิธีแลกหนังสือเท่ากับ 21 . 36 = 756วิธี<br /> ขอขอบคุณ http://14315.multiply.com/journal/item/1/1</span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-90508565216505707582009-08-24T01:20:00.000-07:002009-08-24T01:24:22.052-07:00วัยรุ่นกับความสัมพันธ์ชายและหญิง<div align="center"><span style="color:#ff0000;">วัยรุ่นและสัมพัธภาพในชายและหญิง</span></div><br /> <span style="color:#ffffff;">จากสถิติจะเห็นว่า ทุกวันนี้เด็ก ๆ เริ่มเรียนรู้กับเพศศึกษาเร็วขึ้น และไม่มีการดูแลให้ได้รับความรู้ที่ ถูกต้องอย่างทั่วถึงและพอดี จึงก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควรของนักเรียน ปัญหาการจับคู่อยู่กันอย่างสามี-ภรรยาในหอพักของนักศึกษา ปัญหาการตั้งครรภ์ ปัญหาโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ ปัญหาอาชญากรรมอันเกิดจากการหึงหวง ปัญหาการฆ่าตัวตาย และโรคซึม เศร้าหรืออื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น </span><br /><span style="color:#ffffff;"> ลองมาดูบทวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงจากกลอนในบทนี้ดู แล้วคุณจะรู้ว่า การที่คุณผ่าน ร้อนผ่านหนาว หรือ ผ่านน้ำร้อนมาก่อนพวกเด็ก ๆ ไม่ได้รับประกันว่า คุณจะต้องเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหา ให้พวกเขาได้ในทุก ๆ เรื่องเสมอไป </span><br /><span style="color:#ffffff;"> สิ่งที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเด็กเองหรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ที่เคารพ หรือ แม้แต่ผู้มีอำนาจในสังคมทั้งหลาย ต้องหันมามองและเข้าใจในธรรมชาติของปัญหาให้มากขึ้น แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ให้ความรักความอบอุ่นในครอบครัวอย่างเพียงพอ ทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่นอน </span><br /><span style="color:#ffffff;"> ลักษณะความสัมพันธ์ของชายหญิงในสมัยก่อนกีบในปัจจุบันก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกัน เพราะมี ความคิดว่าฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายเสียหายได้ง่ายและสังคมในสมัยนั้นเป็นสังคมที่แคบ สมาชิกในสังคมจะมีความ สนิทสนมกันมาก หากใครทำผิด ทุกครัวเรือนก็จะรู้กันทั่วไป จึงทำให้สังคมต้องสร้างกฎเกณฑ์ของสังคมขึ้นมา ซึ่งมารวมถึงความสัมพันธ์ของหญิงและชาย หรือที่เราเรียกกันว่า “ แฟน ” </span><br /><span style="color:#ffffff;"> จะเห็นได้ว่า มีการเปิดกว้างมากกว่าในอดีตมาก เนื่องจากสังคมมีการเปลี่ยนแปลง อาทิเช่น สังคมมี ลักษณะที่กว้างขึ้นหรือที่เรียกว่า พหุสังคม ทำให้ลักษณะการวางกฎเกณฑ์ของสังคมมีลักษณที่ยืดหยุ่นขึ้น<br /></span> <br /> <span style="color:#ccffff;">ขอขอบคุณhttp://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-4/no09-24-32-38/page12.html<br /></span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-78753020986424840142009-08-23T07:05:00.000-07:002009-09-03T23:09:33.029-07:00การคบเพื่อน<div align="center">หลักในการคบเพื่อน</div>
<br /><div> </div>
<br /><div> คนเราเกิดมาต้องมีเพื่อนกันทุกคน เพราะว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กันเป็นสังคม มีสัมพันธภาพเป็น สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อการดำรงชีวิตของบุคคลหนึ่งอย่างที่สุด คำสอนที่ว่า " คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล " นั้นยังคงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย การที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาในสังคมหนึ่ง ซึ่งมีทั้งคนดีและ ไม่ดีปะปนผสมกันไปนั้น ย่อมต้องส่งผลต่อเส้นทางเดินของเด็กคนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเราสังเกตดูให้ดี ให้ลึก และมีจิตใจเป็นกลาง เราจะพบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ล้วนมีเพื่อนดีกันทุกคน เพื่อนที่ ดีที่ว่านี้คือ บุคคลซึ่งปิดทองหลังพระคอยตักเตือนชี้แนะ คอยนำพาเราไปพบแต่สิ่งดี ๆ และนำสิ่งดี ๆ มาให้เรา เสมอโดยโดยไม่หวังผลตอบแทน การที่เด็กสมัยนี้จะเป็นคนดีมีคุณธรรมได้นั้น นอกจากต้องได้รับความดูแลเอา ใจใส่และให้การอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว เพื่อนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำพาให้เขาถึงฝั่งฝันสมใจ ปองของทุก ๆ คนได้ง่าย ลองดูหลักในการคบเพื่อน และ ความหมายของการคบบัณฑิตกันดีกว่า เผื่อจะได้ความ หมายของคำว่า มีศตรูเป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรที่เป็นพาลและนำไปไช้ในชีวิตประจำวันอย่างเกิดประโยชน์เราควร </div>
<br /><div> มีหลักการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง </div>
<br /><div>1) คนพาลชอบชักนำไปในทางที่ผิด เช่นชักชวนไปกินเหล้าเมายา เที่ยวกลางคืน </div>
<br /><div>2) คนพาลไม่ชอบวินัย ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองและประพฤติผิดศีลธรรม </div>
<br /><div>3) คนพาลชอบแต่สิ่งที่ผิด ชอบเห็นความพินาศของผู้อื่นเมื่อเวลาตัวเองทำผิดก็ภูมิใจ </div>
<br /><div>4) คนพาลชอบทำในสิ่งทีไม่ใช่ธุระของตนคือ ชอบไปก้าวก่ายธุระหน้าที่ของผู้อื่น ปล่อยปละละเลย ชีวิตของตน </div>
<br /><div>5) คนพาลแม้พูดจาดี ๆ ด้วยก็โกรธ เมื่อเห็นใครทีมีลักษณะเลวทรามเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 5 ประการ ให้ตั้งข้อสงสัยเลยว่า เขาเป็นคนพาลไม่ควรคบหาด้วย </div>
<br /><div> </div>
<br /><div>สำหรับบัณฑิตนั้นในทางธรรมหมายถึง ผู้รู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป ซึ่ง อาจรับปริญญาหรือไม่ก็ตามแต่สามารถดำเนินชีวิตด้วยความรู้เหล่านั้นด้วยดี เมื่อเราคบบัณฑิตเป็นเพื่อน เราจะ ได้รับการถ่ายทอดความประพฤติและนิสัยที่ดีจากบัณฑิต ทำให้เรามีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น ทั้งด้านการ งานเงินและชีวิตส่วนตัว ถึงแม้เราจะมีศัตรูเป็นบัณฑิตกับความเห็นผิดของเราเท่านั้น เมื่อเรากลับตัวเป็นคนดี บัณฑิตย่อมไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่จะกลับเป็นมิตรแท้ให้แก่เราจนวันตาย เพราะฉะนั้นมีศัตรูเป็นบัณฑิตจึงดี กว่ามิตรทีเป็นพาล<br /></div>
<br /><div> </div>
<br /><div> </div>
<br /><div>ขอขอบคุณ http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-4/no09-24-32-38/page06.html</div>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-58457226965470525182009-08-19T10:04:00.000-07:002009-08-19T10:14:04.460-07:00การคุมกำเนิด<div align="center">การคุมกำเนิด</div>
<br /><div align="left"><br /> การคุมกำเนิดมีวิธีการอยู่หลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด แพทย์ ผู้ให้คำแนะนำด้านสุขภาพ นางผดุงครรภ์และพยาบาลสามารถให้คำแนะนำด้านการคุมกำเนิดกับคุณได้ โดยทุกคนที่ทำงานในสำนักงานแพทย์ คลินิกบริการด้านสุขภาพของรัฐ หรือโรงพยาบาลมีหน้าที่ในการเก็บรักษาความลับ<br /> -ถุงยาง<br /> -ถุงยางอนามัยสตรี<br /> -ยาฆ่าอสุจิ<br /> -ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน<br /> -ยาเม็ดคุมกำเนิด<br /> -แหวนใส่ช่องคลอด<br /> -แผ่นคุมกำเนิด<br /> - ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว<br />ห่วงคุมกำเนิดประเภท Hormone coils<br />ยาฝังคุมกำเนิด<br />ห่วงคุมกำเนิดประเภท Copper coils<br />การทำหมัน<br />การคุมกำเนิดฉุกเฉิน<br />วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้<br />ถุงยาง<br />ถุงยางคือปลอกยางเนื้อบางที่สามารถม้วนออกเพื่อครอบองคชาตขณะแข็งตัว ควรสวมถุงยางตลอดช่วงเวลาการร่วมเพศ ความน่าเชื่อถือของถุงยางจะมีมากขึ้น หากใช้ร่วมกับโฟมหรือครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางยังสามารถใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ ถุงยางมีจำหน่ายทั่วไป ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายยา ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ถุงยางมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้ได้ถูกต้อง<br />ถุงยางอนามัยสตรี<br />ถุงยางอนามัยสตรีคือปลอกยางที่มีความยืดหยุ่นสำหรับสอดเข้าในช่องคลอดของผู้หญิงเพื่อปกปิดปากมดลูก ถุงยางอนามัยสตรีมีจำหน่ายในขนาดต่าง ๆ โดยแพทย์จะต้องเป็นผู้สวมใส่ให้ ควรใช้ถุงยางอนามัยสตรีร่วมกับครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางอนามัยสตรีสามารถสวมใส่ในตอนใดก็ได้ก่อนการร่วมเพศและควรสวมทิ้งไว้เป็นเวลาอย่างน้อยหกชั่วโมงหลังการใส่ ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถใส่ถุงยางอนามัยสตรีได้ ถุงยางอนามัยสตรีและครีมฆ่าเชื้ออสุจิเป็นวิธีการในการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้หากสวมใส่ลงในช่องคลอดอย่างถูกต้อง<br />ยาฆ่าอสุจิ<br />ยาฆ่าอสุจิใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ทำขึ้นเป็นครีม โฟม เยลลี่หรือยาสอด ยาฆ่าเชื้ออสุจิสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น<br />ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน<br />ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจนมีอยู่เพียงประเภทเดียวในตลาดนอร์เวย์ ยาเม็ดนี้ป้องกันการตกไข่ของผู้หญิง(เมื่อมีการผลิตไข่) เพื่อให้ยาเกิดประสิทธิภาพ จะต้องใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ยานี้ยังสามารถใช้กับหญิงให้นมบุตรได้ ยาตัวนี้มีความเชื่อถือได้ 100% หากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อหาซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจน<br />ยาเม็ดคุมกำเนิด<br />©Stephen Meddle/Rex Features/All Over Press<br />ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติมีจำหน่ายในท้องตลาดมากว่า 30 ปี โดยประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์สองประเภท ได้แก่ เอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ฮอร์โมนทั้งสองชนิดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ผลิตเลียนแบบฮอร์โมนจากรังไข่ ยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่ต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำการใช้ยาคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับคุณและเขียนใบสั่งยาให้ ยาเม็ดคุมกำเนิดขัดขวางการตกไข่และทำให้ไข่ไม่สามารถฝังตัวลงในผนังมดลูกได้ ยาเม็ดคุมกำเนิดมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อซื้อยาเม็ดคุมกำเนิด<br />หญิงอายุเกิน 35 ปีและสูบบุหรี่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด รวมทั้งผู้หญิงที่มีปัญหาเส้นเลือดอุดตัน มะเร็งเต้านม โรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงทางตับ<br />แหวนใส่ช่องคลอด<br />แหวนใส่ช่องคลอดเป็นวงแหวนอ่อนนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสามารถสวมลงในช่องคลอดได้ด้วยตัวเอง แหวนใส่ช่องคลอดประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในปริมาณที่น้อยกว่ายาเม็ดคุมกำเนิด แหวนใส่ช่องคลอดจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมา ควรใส่แหวนช่องคลอดทิ้งไว้ในช่องคลอดเป็นเวลาสามสัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยถอดและสวมแหวนใหม่หลังผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แหวนใส่ช่องคลอดช่วยป้องกันการตกไข่ แหวนนี้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย สามารถหาซื้อแหวนใส่ช่องคลอดได้จากร้ายขายยาโดยต้องมีใบรับรองแพทย์ นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ผู้หญิงที่ไม่สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะไม่สามารถใช้แหวนคุมกำเนิดได้เช่นกัน<br />แผ่นคุมกำเนิด<br />แผ่นคุมกำเนิดจะมีปริมาณเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในระดับเท่ากับยาเม็ดคุมกำเนิดแต่<br />โดสการใช้ยาต่ำที่สุด ฮอร์โมนจะถูกปล่อยออกมาผ่านทางผิวหนัง แผ่นคุมกำเนิดควรจะเปลี่ยนในวันเดียวกันของแต่ละสัปดาห์รวมเป็นเวลาสามสัปดาห์ หลังจากใช้แผ่นคุมกำเนิดไปแล้วสามสัปดาห์ คุณต้องหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ก่อนใช้แผ่นคุมกำเนิดใหม่ในวันเดียวกันของสัปดาห์ แผ่นคุมกำเนิดใช้เพื่อป้องกันการตกไข่ สามารถหาซื้อแผ่นคุมกำเนิดได้จากร้านขายยาโดยต้องมีใบรับรองแพทย์ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเชื่อถือได้พอกับยาเม็ดคุมกำเนิด<br />ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว<br />ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว (Mini pill) ประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดเดียวคือ<br />โปรเจสโตเจน ควรใช้ยาตัวนี้ในเวลาเดียวกันของทุกวัน หากลืมใช้ยาจนเลยเวลาไปแล้วเกินกว่า 27 ชั่วโมง จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดเพิ่มเติมสำหรับช่วง 14 วันถัดไป ให้ใช้ยาตามปกติ จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อรับยาตัวนี้<br />ห่วงคุมกำเนิดประเภท Hormone coils<br />ห่วงคุมกำเนิดชนิดนี้ (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD)) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้สอดเข้าในมดลูกของผู้หญิงโดยแพทย์ การใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจให้ความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่อาการดังกล่าวจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หากยังรู้สึกไม่สบาย ให้สอบถามจากแพทย์ ห่วงคุมกำเนิดจะไปขัดขวางการเติบโตของเยื่อบุผนังมดลูก ทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเจาะเข้าในเยื่อบุปากมดลูก นอกจากนี้ยังไปขัดขวางไม่ให้เชื้ออสุจิเคลื่อนผ่านปากมดลูก ห่วงคุมกำเนิดสามารถใช้ได้เป็นเวลาหลายปี และเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีความน่าเชื่อถือสูง<br />ยาฝังคุมกำเนิด<br />ยาฝังคุมกำเนิดมีจำหน่ายในนอร์เวย์อยู่สองประเภทด้วยกัน โดยมีขนาดเท่ากับไม้ขีดไฟและประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสโตเจนสังเคราะห์ ใช้โดยการสอดเข้าใต้ท้องแขนของผู้หญิงเป็นระยะเวลาสามถึงห้าปี ขึ้นอยู่กับชนิดที่ใช้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ฝังตัวยา ยาฝังคุมกำเนิดทำงานโดยป้องกันการตกไข่และส่งผลต่อการสร้างเมือกบริเวณปากมดลูกทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเข้าถึงมดลูกและท่อรังไข่ได้ ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้<br />ห่วงคุมกำเนิดประเภท Copper coils<br />©Steinar Myhr/Samfoto<br />ห่วงคุมกำเนิดชนิดนี้ (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD)) ใช้งานโดยสวมเข้าในมดลูกเหมือนกับห่วงคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน ห่วงคุมกำเนิดประเภทนี้จะขัดขวางไม่ให้ไข่ฝังตัวลงในมดลูกได้ และสามารถขัดขวางเชื้ออสุจิไม่ไห้เคลื่อนเข้าไปในมดลูก ห่วงคุมกำเนิดประเภทนี้ใช้ได้ผลดีเป็นเวลาห้าถึงสิบปี และถือเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดีพอสมควร Copper coils สามารถทำให้ประจำเดือนมีมากกว่าปกติและอาจมีอาการปวดประจำเดือนตามมา<br />การทำหมัน<br />การทำหมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคุมกำเนิด ผู้ชายหรือผู้หญิงที่ทำหมันจะไม่สามารถมีบุตรได้ หากทำหมันแล้วการแก้ไขในภายหลังจะทำได้ยาก ดังนั้นจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำหมัน<br />การคุมกำเนิดฉุกเฉิน<br />หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฝ่ายหญิงตกไข่ โอกาสในการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 20% หากคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้วิธีการคุมกำเนิดในช่วงนี้ คุณสามารถซื้อยาคุมกำเนิดฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ที่ร้านขายยา ยาเม็ดเหล่านี้ประกอบด้วยฮอร์โมนในปริมาณสูงซึ่งจะต้องใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพหลังจากผ่านไปสามถึงสี่สัปดาห์เพื่อตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ยาชนิดนี้อาจส่งผลต่อตัวอ่อนหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น หรืออาจสวมห่วงคุมกำเนิดภายในห้าวันหลังการร่วมเพศที่เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์.<br />วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้<br />ช่วงปลอดภัย<br />ตามทฤษฎี เราสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หากไม่มีการร่วมเพศในช่วงที่ผู้หญิงกำลังตกไข่ แต่เป็นวิธีการที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เนื่องจากระยะเวลาและรอบเดือนของช่วงการตกไข่ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป<br />วิธีการหลั่งภายนอก<br />หากการร่วมเพศถูกขัดขวางก่อนการหลั่งเชื้ออสุจิ อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เชื้ออสุจิบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอดก่อนการหลั่งเกิดขึ้น ทำให้เชื้ออสุจิที่ผิวหนังรอบ ๆ ปากมดลูกเคลื่อนตัวเข้าไปในปากมดลูกได้<br /> </div>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-86890761109028811922009-08-11T21:59:00.000-07:002009-08-11T22:08:25.596-07:00การทำโครงงานคณิตศาสตร์<div align="center"><span style="font-family:lucida grande;">การทำโครงงานคณิตศาสตร์<br />เค้าโครงงาน<br /></div></span><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">ชื่อโครงงาน</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">ชื่อผู้จัดทำ</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">ชื่อที่ปรึกษา</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">1.ที่มาและความสำคัญ</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">2.จุดประสงค์</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">3.ขั้นตอนการทำโครงงาน</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">4.ผลการทำงาน</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">5.สรุป</span><br /><span style="font-family:lucida grande;color:#ffffff;">บรรณานุกรม</span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-6855724371066900272009-08-02T21:39:00.000-07:002009-09-03T23:09:32.434-07:00<div align="center"><span style="color:#ffffff;">การดูแลผิวหน้าแต่ละวัย</span></div><div align="center"><span style="color:#ffffff;"></span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">ย่อมแตกต่างกันตามสภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ยังเป็นสาวหน้าใส ผิวพรรณ เต่งตึง การทาแค่ครีมกันแดด และล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์สูตรอ่อนโยนก็อาจจะเพียงพอ แต่เมื่อวัยมากขึ้นรอยตีนกาเริ่มมาเยือน ผิวหน้าที่เคยเนียนใส กลับดูแห้งหรือหยาบมากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์และการดูแลผิวอาจจะดูยุ่งยาก และต้องใส่ใจกันมากขึ้น เพราะปัญหาของผิวจะเริ่มปรากฎมากขึ้นนั่นเอง</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;"></span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;">วัย15-20 การดูแล : วัยรุ่นกับสิวเป็นของคู่กันเสมอ สิวในช่วงนี้มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ และมีตัวก่อกวนอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น การแคะ แกะ หรือบีบสิว รวมทั้งความเครียดและอดนอนจริง ๆ แล้ว สิวที่เกิดขึ้นมักหายไปเองตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่ไปกดสิว ปัญหารอยดำ และการอักเสบก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากไม่หาย ก็ปรึกษาคุณหมอเถอะค่ะ การดูแลผิวในวัยสาวน้อย ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ วันละ 2 ครั้งก็พอ และหลีกเลี่ยงเคลนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพราะค่อนข้างแรงกับผิวอาจทำให้ผิวใส ๆ ดูกร้านก่อนวัยได้</span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;"></span></div><div align="left"><span style="color:#ffffff;"></span></div><span style="color:#ffffff;">วัย 20 ปีขึ้นไปการดูแล : ปัญหาเรื่องสิว จะลดน้อยลง ยกเว้นในคนที่ผิวมัน ที่อาจมีเม็ดสิวเป้ง ๆ ให้รำคาญใจได้ หรือคนที่มีฮอร์โมนเพศสูง ก็อาจมีสิวโผล่อยู่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่เคยใช้ ในช่วงสาววัย 16 ได้ดี บางครั้งอาจจะไม่เหมาะกับสาววัยนี้ก็เป็นได้ เนื่องจากผิวหน้าที่เคยอ่อนใส อาจดูหมองคล้ำ หรือแห้งกร้านได้ตามวัยที่มากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าสดใส เปล่งปลั่งมากขึ้นและไม่ลืมทาครีมป้องกันแดดทุกครั้ง ก่อนออกจากบ้าน เพราะแสงแดด จะทำให้ริ้วรอยมาเยือนผิวได้เร็วขึ้น ป้องกันไว้ดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ นอกจากนี้การใช้ AHA จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ครีมกันแดดทุกวัน และหากเลี่ยงแดดแรง ๆ ได้ก็ควรทำค่ะ หรือจะเลือกการขัดผิวด้วยครีมขัดผิว ซึ่งผลิตมาเพื่อใช้กับผิวหน้าที่บอบบางก็สะดวกดีค่ะ วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง ควรทำหลังจากทำความสะอาดหน้าแล้ว แต้มเจลหรือครีมขัดผิว ลงบนผิวหน้า 5 จุดคือ บริเวณ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้างจมูก และคาง เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ซึ่งมีแรงกด ค่อนข้างเบา นวดเป็นวงกลมไปในทิศเดียวกัน จะช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดลอก ทำให้ผิวหน้านวลผ่อง สดใสขึ้น ทำสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ หลังจาก ขัดผิวแล้วอย่าลืมทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้ง ซึ่งการขัดผิวจะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมสู่ผิวได้ล้ำลึกขึ้น<br /><br />วัย 30 ปีขึ้นไปการดูแล : ผิวหน้าของสาววัยนี้ จะมีปัญหาของริ้วรอยใต้ตา โดยเฉพาะเวลาที่คุณยิ้ม รอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก จะเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่ง สดใสก่อนหน้านี้ ก็จะเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวหน้าจะดูหยาบกร้านขึ้น รูขุมขนโตขึ้น การดูแลผิวจึงต้องครบเครื่องมากขึ้น ทั้งการขัดผิว และมาสค์หน้า จะช่วยขจัดการหลุดลอกของผิวชั้นนอก และช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตกค้างจากรูขุมขนส่วนลึกได้ดี ทำให้หน้าสะอาด กระชับและสดใสขึ้น และสำหรับผิวหน้าที่ เริ่มมีริ้วรอยควรเลือกมาส์ค ที่มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลังการพอกหน้าและล้างสะอาดแล้ว จะทำให้หน้าผ่อง เนียนนุ่ม และมีความยืดหยุ่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการเลือกครีมบำรุงผิวของสาววัยนี้ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นพิเศษ เพราะผิวหน้าจะเริ่มแห้งมากขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวหน้าตามธรรมชาติ ผลิตน้อยลง และควรเลือกชนิดเนื้อเบา เพื่อไม่ให้ไปอุดตันรูขุมขน<br /><br /><br />นอกจากนี้ การใช้อายเจลหรืออายครีม ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตา ชุ่มชื้นและสดใสขึ้น ส่วนครีมกันแดด ก็จำเป็นต้องใช้เป็นประจำทุกวัน<br /><br />มาสก์พอกหน้าแบบประหยัดมาสค์พอกหน้าจากโยเกิร์ตล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใส<br /><br />มาสค์พอกหน้าจากมะละกอนำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง<br /><br /><br />ขอขอบคูณ<br />ข้อมูลจาก<br /></span><a href="http://www.siamha.com/issue/data/4/00000041-1.html"><span style="color:#ffffff;">http://www.siamha.com/issue/data/4/00000041-1.html</span></a><span style="color:#ffffff;"> </span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-86770832235456810082009-08-02T21:34:00.000-07:002009-09-03T23:07:44.803-07:00ดูแลผิวหน้า<div align="center"><span style="color:#663333;">ดูแลผิวหน้าแต่ละวัย</span></div><br /><span style="color:#663333;">ย่อมแตกต่างกันตามสภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ยังเป็นสาวหน้าใส ผิวพรรณ เต่งตึง การทาแค่ครีมกันแดด และล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์สูตรอ่อนโยนก็อาจจะเพียงพอ แต่เมื่อวัยมากขึ้นรอยตีนกาเริ่มมาเยือน ผิวหน้าที่เคยเนียนใส กลับดูแห้งหรือหยาบมากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์และการดูแลผิวอาจจะดูยุ่งยาก และต้องใส่ใจกันมากขึ้น เพราะปัญหาของผิวจะเริ่มปรากฎมากขึ้นนั่นเอง<br />วัย15-20 การดูแล : วัยรุ่นกับสิวเป็นของคู่กันเสมอ สิวในช่วงนี้มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ และมีตัวก่อกวนอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น การแคะ แกะ หรือบีบสิว รวมทั้งความเครียดและอดนอนจริง ๆ แล้ว สิวที่เกิดขึ้นมักหายไปเองตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่ไปกดสิว ปัญหารอยดำ และการอักเสบก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากไม่หาย ก็ปรึกษาคุณหมอเถอะค่ะ การดูแลผิวในวัยสาวน้อย ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ วันละ 2 ครั้งก็พอ และหลีกเลี่ยงเคลนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพราะค่อนข้างแรงกับผิวอาจทำให้ผิวใส ๆ ดูกร้านก่อนวัยได้<br />วัย 20 ปีขึ้นไปการดูแล : ปัญหาเรื่องสิว จะลดน้อยลง ยกเว้นในคนที่ผิวมัน ที่อาจมีเม็ดสิวเป้ง ๆ ให้รำคาญใจได้ หรือคนที่มีฮอร์โมนเพศสูง ก็อาจมีสิวโผล่อยู่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่เคยใช้ ในช่วงสาววัย 16 ได้ดี บางครั้งอาจจะไม่เหมาะกับสาววัยนี้ก็เป็นได้ เนื่องจากผิวหน้าที่เคยอ่อนใส อาจดูหมองคล้ำ หรือแห้งกร้านได้ตามวัยที่มากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าสดใส เปล่งปลั่งมากขึ้นและไม่ลืมทาครีมป้องกันแดดทุกครั้ง ก่อนออกจากบ้าน เพราะแสงแดด จะทำให้ริ้วรอยมาเยือนผิวได้เร็วขึ้น ป้องกันไว้ดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ นอกจากนี้การใช้ AHA จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ครีมกันแดดทุกวัน และหากเลี่ยงแดดแรง ๆ ได้ก็ควรทำค่ะ หรือจะเลือกการขัดผิวด้วยครีมขัดผิว ซึ่งผลิตมาเพื่อใช้กับผิวหน้าที่บอบบางก็สะดวกดีค่ะ วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง ควรทำหลังจากทำความสะอาดหน้าแล้ว แต้มเจลหรือครีมขัดผิว ลงบนผิวหน้า 5 จุดคือ บริเวณ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้างจมูก และคาง เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ซึ่งมีแรงกด ค่อนข้างเบา นวดเป็นวงกลมไปในทิศเดียวกัน จะช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดลอก ทำให้ผิวหน้านวลผ่อง สดใสขึ้น ทำสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ หลังจาก ขัดผิวแล้วอย่าลืมทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้ง ซึ่งการขัดผิวจะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมสู่ผิวได้ล้ำลึกขึ้น<br />วัย 30 ปีขึ้นไปการดูแล : ผิวหน้าของสาววัยนี้ จะมีปัญหาของริ้วรอยใต้ตา โดยเฉพาะเวลาที่คุณยิ้ม รอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก จะเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่ง สดใสก่อนหน้านี้ ก็จะเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวหน้าจะดูหยาบกร้านขึ้น รูขุมขนโตขึ้น การดูแลผิวจึงต้องครบเครื่องมากขึ้น ทั้งการขัดผิว และมาสค์หน้า จะช่วยขจัดการหลุดลอกของผิวชั้นนอก และช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตกค้างจากรูขุมขนส่วนลึกได้ดี ทำให้หน้าสะอาด กระชับและสดใสขึ้น และสำหรับผิวหน้าที่ เริ่มมีริ้วรอยควรเลือกมาส์ค ที่มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลังการพอกหน้าและล้างสะอาดแล้ว จะทำให้หน้าผ่อง เนียนนุ่ม และมีความยืดหยุ่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการเลือกครีมบำรุงผิวของสาววัยนี้ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นพิเศษ เพราะผิวหน้าจะเริ่มแห้งมากขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวหน้าตามธรรมชาติ ผลิตน้อยลง และควรเลือกชนิดเนื้อเบา เพื่อไม่ให้ไปอุดตันรูขุมขน นอกจากนี้ การใช้อายเจลหรืออายครีม ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตา ชุ่มชื้นและสดใสขึ้น ส่วนครีมกันแดด ก็จำเป็นต้องใช้เป็นประจำทุกวันมาสก์พอกหน้าแบบประหยัดมาสค์พอกหน้าจากโยเกิร์ตล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใส<br />มาสค์พอกหน้าจากมะละกอนำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง ข้อมูลจาก </span><a href="http://www.siamdara.com/" target="_blank"></a><br /><br /><span style="color:#663333;">ขอขอบคุณ </span><a href="http://www.siamha.com/issue/data/4/00000041-1.html"><span style="color:#663333;">http://www.siamha.com/issue/data/4/00000041-1.html</span></a>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2786448218281288429.post-41705056823479197102009-08-02T08:33:00.000-07:002009-08-02T17:41:53.019-07:00การวิเคราะห์ข้อมูล<span style="font-family:verdana;color:#990000;">การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น<br />ความหมายของคำต่างๆที่จะช่วยให้เข้าใจวิธีการทางสถิติมากขึ้น มีดังนี้ กลุ่มประชากร หมายถึง กลุ่มที่มีลักษณะที่เราสนใจ หรือกลุ่มที่เราต้องการจะศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เปรียบเหมือนเอกภพสัมพัทธ์ในเรื่องเซต กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง ส่วนหนึ่งของกลุ่มประชากรที่เราสนใจ ในกรณีที่กลุ่มประชากรที่จะศึกษานั้นเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ เกินความสามารถหรือความจำเป็นที่ต้องการ หรือเพื่อประหยัดในด้านงบประมาณและเวลา สามารถศึกษาข้อมูลเพียงบางส่วนของกลุ่มประชากรได้ ค่าพารามิเตอร์ หมายถึง ค่าต่างๆที่คำนวณมาจากกลุ่มประชากร จะถือเป็นค่าคงตัว กล่าวคือ คำนวณกี่ครั้งๆก็จะไม่เปลี่ยนแปลง ค่าสถิติ หมายถึง ค่าต่างๆที่คำนวณมาจากกลุ่มตัวอย่าง จะเป็นค่าที่เปลี่ยนแปลงได้ตจามกลุ่มตัวอย่างที่เลือกสุ่มมา จึงถือว่าเป็นค่าตัวแปรสุ่ม ตัวแปร ในทางสถิติ หมายถึง ลักษณะบางอย่างที่เราสนใจ ค่าของตัวแปร อาจอยู่ในรูปข้อความ หรือตัวเลขก็ได้ ค่าที่เป็นไปได้ หมายถึง ค่าของตัวแปรที่อาจจะเกิดขึ้นได้จริง ค่าจากการสังเกต หมายถึง ค่าที่เก็บรวบรวมได้มาจริงๆ<br />การแจกแจงความถี่ของข้อมูล (Frequency Distribution)เป็นวิธีการทางสถิติอย่างหนึ่งที่ใช้ในการจัดข้อมูลที่มีอยู่ หรือที่เก็บรวบรวมมาได้ให้อยู่เป็นกลุ่มๆ เพื่อสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น การแจกแจงความถี่ จัดเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. การแจกแจงความถี่แบบไม่จัดเป็นอันตรภาคชั้น ใช้กับข้อมูลที่มีค่าสูงสุดและต่ำสุดของข้อมูลไม่แตกต่างกันมากนัก หรือข้อมูลที่มีค่าของจำนวนที่ต่างกันมีไม่มาก 2. การแจกแจงความถี่แบบจัดเป็นอันตรภาคชั้น ใช้กับข้อมูลที่มีค่าสูงสุดและต่ำสุดของ ข้อมูลแตกต่างกันมาก หรือการแจกแจงไม่สะดวกที่จะใช้ค่าสังเกตทุกๆค่า เพื่อความสะดวกจึงใช้วิธีแจกแจงความถี่ของค่าที่เป็นไปได้แทน โดยแบ่งค่าที่เป็นไปได้ออกเป็นช่วง หรืออันตรภาคชั้น (Interval) </span>thongchai003http://www.blogger.com/profile/14230564945982196746noreply@blogger.com2